ถึงเวลาปฏิรูป แอปฯ "ครุภัณฑ์แยกชิ้น" สู่ "ข้อมูลเป็นศูนย์กลาง"
ดร.มนต์ศักดิ์ โซ่เจริญธรรม ที่ปรึกษาศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลดิจิทัลอัจฉริยะสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เปิดเผยว่า ปัจจุบันจำนวนแอปพลิเคชันของหน่วยงานภาครัฐไทยที่พุ่งสูงทะลุ 2,000 แอปฯ ถือเป็นเครื่องสะท้อนถึงความพยายามในการขับเคลื่อนสู่ดิจิทัล อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ้ง เราจะพบความท้าทายที่สำคัญ นั่นคือการซ้ำซ้อนกันของฟังก์ชันการทำงาน และการบริหารจัดการที่ยังคงติดกับดักของ "ไซโล" ซึ่งส่งผลให้เกิดความสิ้นเปลืองงบประมาณ ขาดประสิทธิภาพ และยังไม่สามารถตอบโจทย์ประชาชนได้อย่างแท้จริง
วิกฤตแอปพลิเคชันซ้ำซ้อนและไร้การบูรณาการ
ดร.มนต์ศักดิ์ กล่าวว่าปัญหาหลักที่ปรากฏชัดคือการมีแอปพลิเคชันจำนวนมากที่ทำงานคล้ายคลึงกัน หรือ บางครั้งก็แทบจะเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น แอพพลิเคชั่นแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวหลายสิบแอปฯ, แอปเตือนภัยและข้อมูลภัยพิบัติที่มีจำนวนมากเป็น 10 แอป, หรือ แอปด้านสุขภาพและการแนะนำข้อมูลหน่วยงานต่างๆ เมื่อมีข้อมูลหลายเรื่อง ก็แยกหลายแอปอีกเช่นเดียวกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่สะท้อนภาพของการ "ทำซ้ำ" โดยไม่จำเป็น ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจที่ไม่ดี แต่เกิดจากโครงสร้างการทำงานภายในภาครัฐที่ยังแยกส่วน (Silo Mentality) อย่างชัดเจน แต่ละหน่วยงานต่างมีงบประมาณ มีความต้องการที่จะพัฒนาแอปพลิเคชันของตนเอง โดยไม่ได้มองถึงภาพรวมหรือโอกาสในการทำงานร่วมกัน
ผลลัพธ์ของระบบไซโลคือ:
1. ความสิ้นเปลืองงบประมาณ: การพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ทั้งหมด ทั้งๆ ที่มีแอปที่มีฟังก์ชันใกล้เคียงกันอยู่แล้ว ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจ้างพัฒนา ตรวจรับ และบำรุงรักษาซ้ำซ้อน
2. ประสิทธิภาพต่ำ: ผู้ใช้งาน (ประชาชน) ต้องดาวน์โหลดและเรียนรู้การใช้งานหลายแอปเพื่อเข้าถึงข้อมูลหรือบริการที่อาจจะเกี่ยวข้องกัน ทำให้เกิดความสับสนและไม่สะดวก ยังไม่นับรวมกรณีแอปล่มเปิดไม่ขึ้น หรือ ข้อมูลไม่ทันสมัย
3. ขาดความยืดหยุ่น: แอปพลิเคชันที่สร้างขึ้นมาโดยแยกส่วนมักจะมีความแข็งกระด้าง การจะแก้ไขปรับปรุงฟังก์ชันใดๆ แม้เพียงเล็กน้อย ก็มักจะเป็นเรื่องยากและอาจส่งผลกระทบต่อโครงการก่อนหน้าที่ทำไว้ หรือติดปัญหาด้านระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง ทำให้การพัฒนาต่อยอดเป็นไปได้ยาก
จากทัศนคติแบบ "ครุภัณฑ์" สู่แนวคิด "ดิจิทัล" ที่แท้จริง
รากฐานของปัญหาเหล่านี้ แท้จริงแล้วอาจมาจาก “ระเบียบ” หรือ “ทัศนคติ” ที่ภาครัฐยังคงมองดิจิทัลในลักษณะเดียวกับการบริหารจัดการ "ครุภัณฑ์ทางกายภาพ" เช่น เก้าอี้ โต๊ะ ทีวี หรือตู้เย็น ที่ต้องแยกชิ้นและจัดซื้อจัดจ้างเป็นรายชิ้น ไม่สามารถนำมาผนวกรวมกันได้
แต่ในโลกของซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชัน แนวคิดนี้กลับเป็นอุปสรรคอย่างร้ายแรง ดิจิทัลโดยธรรมชาติแล้วควรมีความสามารถในการหลอมรวม เชื่อมโยง และทำงานร่วมกันได้ แอปพลิเคชันไม่ใช่แค่ "ก้อนซอฟต์แวร์" ที่แยกขาดจากกัน แต่คือ "หน้าต่าง" หรือ "เครื่องมือ" ในการเข้าถึงและประมวลผล "ข้อมูล" (Data) และ "สารสนเทศ" (Information) ต่างหาก
หัวใจสำคัญคือ "ข้อมูล" ไม่ใช่ "แอปพลิเคชัน"
หากมองให้ลึกซึ้ง แอปพลิเคชันเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นหัวใจหลักคือ คอนเทนต์ (Content) หรือ ข้อมูล (Data) และสารสนเทศ (Information) ที่แอป นั้นๆ นำเสนอและจัดการใช้แอปเพื่อหวังจะได้ Output ซึ่งก็คือสารสนเทศที่ผ่านการประมวลผลแล้ว หรือเพื่อดึงข้อมูลมาตรวจสอบสถานะของเรื่องต่างๆ
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นจึงไม่ใช่แค่การลดจำนวนแอป แต่ คือการเปลี่ยน "Mindset" หรือแนวคิดในการบริหารจัดการจาก "แอปเป็นศูนย์กลาง" มาเป็น "ข้อมูลเป็นศูนย์กลาง" (Data-Centric)
แนวทางแก้ไขและข้อเสนอแนะ
เพื่อแก้ไขปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของภาครัฐไทย ควรพิจารณาแนวทางดังต่อไปนี้:
1. ปฏิรูปกฎระเบียบและทัศนคติ:
ปรับเปลี่ยนมุมมอง: ส่งเสริมความเข้าใจว่าแอ๊พพลิเคชันและซอฟต์แวร์เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่สามารถหลอมรวมและทำงานร่วมกันได้ ไม่ใช่ครุภัณฑ์ที่ต้องแยกชิ้นขาดจากกัน
ทบทวนระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง: แก้ไขกฎระเบียบที่อาจขัดขวางการบูรณาการและการพัฒนาต่อยอด เพื่อให้หน่วยงานสามารถใช้ประโยชน์จากระบบที่มีอยู่เดิมได้ โดยไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
2. สร้างแพลตฟอร์มข้อมูลกลาง (Central Data Platform):
บูรณาการข้อมูล: แทนที่จะให้แต่ละแอ๊พมีฐานข้อมูลของตัวเอง ควรผลักดันให้มีการสร้างแพลตฟอร์มข้อมูลกลางที่เปิดให้หน่วยงานต่างๆ สามารถนำข้อมูลมาจัดเก็บและแลกเปลี่ยนกันได้ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน
เปิด API (Application Programming Interface): ส่งเสริมให้หน่วยงานต่างๆ พัฒนาระบบโดยมี API ที่เปิดให้แอปพลิเคชันหรือระบบอื่น ๆ สามารถเรียกใช้ข้อมูลและฟังก์ชันการทำงานได้ ทำให้เกิดการเชื่อมโยงและต่อยอดได้อย่างไร้รอยต่อ
3. เน้นการพัฒนาแบบโมดูล (Modular Development):
สร้างส่วนประกอบที่ใช้ซ้ำได้: แทนที่จะสร้างแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ ควรแบ่งการพัฒนาออกเป็นโมดูลย่อยๆ ที่สามารถนำไปใช้ซ้ำได้ในแอ๊พพลิเคชันต่างๆ ทำให้ประหยัดเวลาและทรัพยากร
รวมแอปที่มีฟังก์ชันคล้ายกัน: พิจารณารวมแอ๊พพลิเคชันที่มีฟังก์ชันคล้ายคลึงกันให้เป็นแอ๊พเดียว หรือเป็นแพลตฟอร์มเดียวที่มีหลายบริการย่อย เช่น แอ๊พท่องเที่ยวรวมทุกแหล่งท่องเที่ยวของประเทศ แทนที่จะแยกเป็นของแต่ละจังหวัด
4. ส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานร่วมกัน:
กำหนดผู้รับผิดชอบภาพรวม: อาจจำเป็นต้องมีหน่วยงานหรือคณะกรรมการกลางที่ทำหน้าที่กำกับดูแลและส่งเสริมการบูรณาการแอ๊พพลิเคชันและข้อมูลภาครัฐ เพื่อไม่ให้เกิดการพัฒนาซ้ำซ้อน
แลกเปลี่ยนเรียนรู้: จัดเวทีหรือกลไกให้หน่วยงานต่างๆ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางการพัฒนา เพื่อหาแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดร่วมกัน
ดังนั้น การมีแอปพลิเคชันภาครัฐจำนวนมากเป็นสิ่งที่ดี หากได้รับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ การเปลี่ยนผ่านจาก Mindset ที่มองแอ๊พพลิเคชันเป็น "ครุภัณฑ์แยกชิ้น" สู่ "ข้อมูลเป็นศูนย์กลาง" ที่สามารถหลอมรวมและต่อยอดได้ จะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของดิจิทัลภาครัฐ การปรับปรุงกฎระเบียบ สร้างแพลตฟอร์มข้อมูลกลาง และส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานร่วมกัน จะช่วยให้ภาครัฐไทยสามารถก้าวข้ามความซ้ำซ้อนและไร้ประสิทธิภาพ ไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลที่ชาญฉลาด ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ครบวงจร และยั่งยืนอย่างแท้จริง.