กสม.แนะนายกฯ ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า หลังพบเด็กและเยาวชนใช้มากขึ้นอย่างรวดเร็ว
ประธาน กสม. มีหนังสือด่วนที่สุดถึงนายกรัฐมนตรี แจ้งข้อเสนอแนะในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า หลังพบเด็กและเยาวชนใช้มากขึ้นอย่างรวดเร็ว และได้รับผลกระทบด้านสุขภาพรุนแรง
22ส.ค.2568 - นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ประชุมหารือกับคณะกรรมการพัฒนานโยบายสาธารณะประเด็นการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า ภายใต้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เกี่ยวกับสถานการณ์การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งทำให้เกิดการเสพติดนิโคตินอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ครอบครัวและสังคม
ในการนี้ เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาตลอดจนส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิด้านสุขภาพของประชาชน ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จึงมีหนังสือด่วนที่สุด ที่ สม 0701/41 ลงวันที่ 20 สิงหาคม 2568ถึงนายกรัฐมนตรี แจ้งข้อเท็จจริง สภาพปัญหา ข้อพิจารณา และข้อเสนอแนะในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าของประเทศไทย สรุปได้ ดังนี้
จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า ระหว่างปี 2564 - 2567 มีประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 11.4 เท่า จาก 78,752 คน ในปี 2564 เพิ่มขึ้นเป็น 900,454 คน ในปี 2567 โดย 1 ใน 4 หรือ 214,863 คน สูบบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเดียว และปัจจัยที่ส่งผลให้การใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ การซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์ การนำเสนอภาพของบุหรี่ไฟฟ้าที่ดึงดูดผู้ใช้ ทั้งรูปลักษณ์ รสชาติ และการตลาดที่มุ่งเป้าไปยังเด็กและเยาวชน
บุหรี่ไฟฟ้าส่งผลกระทบต่อสุขภาพหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นวัยที่สมองยังอยู่ในระยะพัฒนา สารนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้ามีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ส่งผลต่อการทำงานของสมองในด้านสมาธิ การเรียนรู้ และพฤติกรรม ตลอดจนเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าและการฆ่าตัวตาย นอกจากนี้ ยังมีรายงานผู้ป่วยปอดอักเสบจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชนอายุเฉลี่ยเพียง 15 ปี และบางรายมีอาการรุนแรงจนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ โดยประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายบัญญัติคำนิยามหรือควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าโดยตรง แต่ใช้กฎหมายศุลกากรและกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคในการห้ามนำเข้า จำหน่าย และครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งนี้ แม้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าผิดกฎหมาย แต่กลับมีการซื้อขายจำนวนมากผ่านช่องทางออนไลน์และมีการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่ชายแดน
ภาควิชาการและเครือข่ายสุขภาพห่วงกังวลต่อกระบวนการกำหนดนโยบายเพื่อควบคุมการใช้บุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะกรณีที่มีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจยาสูบเข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรคณะหนึ่ง ซึ่งอาจมีส่วนในการกำหนดทิศทางหรือแทรกแซงนโยบายในการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ และไม่สอดคล้องกับพันธกรณีของไทยตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO Framework Convention on Tobacco Control: WHO FCTC) มาตรา 5.3 ที่กำหนดให้รัฐภาคีซึ่งรวมถึงประเทศไทย ปกป้องนโยบายสาธารณะด้านการควบคุมยาสูบจากกลุ่มอุตสาหกรรมยาสูบและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
กสม. เห็นว่า การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพและพัฒนาการของเด็กและเยาวชน ขัดต่อหลักการสำคัญของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ที่กำหนดให้รัฐภาคีมีหน้าที่ในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ที่จำเป็นเพื่อคุ้มครองเด็กในทุกมิติทั้งด้านร่างกาย สุขภาพ และได้รับการพัฒนาตามช่วงวัยอย่างเหมาะสม รวมทั้งการจำหน่ายและการใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย สะท้อนถึงการขาดประสิทธิภาพในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า เนื่องจากไทยยังไม่มีกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าอย่างชัดเจน ทำให้เกิดช่องว่างในการบังคับใช้ ซึ่งไม่สอดคล้องกับพันธกรณีของไทยตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ข้อ 12 ที่รับรองสิทธิของทุกคนในการมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตตามมาตรฐานสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกจากนี้ ยังไม่มีการป้องกันการแทรกแซงของกลุ่มทุนจากการกำหนดนโยบายในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าที่สอดคล้องกับมาตรา 5.3 ของกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. จึงขอแจ้งข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อคุ้มครองสิทธิด้านสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ไปยังนายกรัฐมนตรีเพื่อมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
(1) ให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอันตรายหรือผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและรอบด้าน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่เป็นเป้าหมายของกลุ่มผู้จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า
(2) ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาแก้ไขพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ให้มีมาตรการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบให้ครอบคลุมถึงบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ รวมถึงควบคุมการผลิต การนำเข้า การจำหน่าย การโฆษณาและการใช้ทั้งในพื้นที่จริงและสื่อออนไลน์ โดยในระหว่างที่ไม่มีบทบัญญัติดังกล่าว ให้กำชับให้เจ้าหน้าที่รัฐบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเคร่งครัด
และ (3) ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามหลักการในมาตรา 5.3 ของกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลกให้มีผลในทางปฏิบัติมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเร่งผลักดันให้มีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อป้องกันการแทรกแซงนโยบายจากธุรกิจบุหรี่ หรือมีมาตรการทางกฎหมายในการป้องกันการแทรกแซงนโยบายจากกลุ่มอุตสาหกรรมยาสูบและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง