‘มะละกอ’ ของดีครอบจักรวาล
“มะละกอ” ผลไม้เนื้อสีส้มอมแดงรสอร่อยที่ผู้คนนิยมรับประทาน หรือแม้แต่ผลดิบก็ถูกนำไปปรุงอาหารรสเด็ดอย่าง “ส้มตำ” ผลไม้ชนิดนี้ไม่ได้มีดีที่รสชาติเท่านั้น แต่ยังมีสารอาหารและคุณค่าทางโภชนาการมากมายที่ดีต่อสุขภาพด้วย
โรงพยาบาลทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช บอกเล่าสาระน่ารู้เกี่ยวกับประโยชน์ของ “มะละกอ” ว่ามีสรรพคุณมากมาย เป็นทั้งยารักษาโรค ทั้งยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 ธาตุแคลเซียม ธาตุโซเดียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก โปรตีน เป็นต้น
มะละกอมีไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล และเกลือโซเดียมต่ำ เป็นแหล่งที่ดีของเส้นใยอาหาร ธาตุโพแทสเซียม วิตามินเอ ซี และโฟเลต
แต่ 92 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานจาก “มะละกอสุก” มาจากคาร์โบไฮเดรต ดังนั้น ผู้ที่ควบคุมอาหารแป้งและน้ำตาลจึงไม่ควรกินมะละกอมากเกินไป
สำหรับสีแดงอมส้มที่พบในมะละกอสุกนั้น แสดงว่า มะละกอสุกมีสารไลโคพีนที่เป็นสารช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย
มะละกอสุกยังอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ แคโรทีน วิตามินซี สารฟลาโวนอยด์ สารโฟเลต กรดแพนโทเทนิก ธาตุโพแทสเซียม แมกนีเซียม และเส้นใยอาหาร สารอาหารเหล่านี้บำรุงสุขภาพของระบบหัวใจและหลอดเลือด และป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วย อีกทั้ง มะละกอมีเอนไซม์ปาเปน สามารถนำมาใช้ด้านการแพทย์เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บทางการกีฬา
นอกจากนี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอินสบรุ๊ค ประเทศออสเตรีย พบว่ามะละกอมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุดเมื่อสุกงอม เนื่องจาก คลอโรฟิลล์สีเขียวเปลี่ยนเป็นสารไม่มีสีแต่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอย่างเยี่ยมยอดอีกชนิดหนึ่ง เรียก NCCs (Nonfluorescing Chlorophyll Catabolytes) สะสมบริเวณเปลือกผลและใต้ผิวเปลือก เวลาปอกมะละกอสุกจึงไม่ควรกรีดริ้วบริเวณใต้เปลือก เพราะจะสูญเสียคุณค่าอาหารนี้ไป
@ ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
มะละกออาจช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแข็งตัวและโรคหัวใจที่มีสาเหตุจากโรคเบาหวานได้ดี เพราะมะละกอมีวิตามินซี วิตามินอี และวิตามินเอ (ในรูปของสารแคโรทีนอยด์) ซึ่งเป็นสารอนุมูลอิสระที่มีความสำคัญช่วยป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระของคอเลสเตอรอล เชื่อว่าวิตามินซีและอีช่วยการทำงานของเอนไซม์พาราออกโซเนสซึ่งหยุดการเกิดอนุมูลอิสระของคอเลสเตอรอล
@ ช่วยระบบทางเดินอาหาร
สารอาหารในมะละกอ ทั้งสารโฟเลต บีตาแคโรทีน วิตามินซีและอีช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยลดการถูกทำลายของสารพันธุกรรมในเซลล์ดังกล่าวด้วยอนุมูลอิสระ
ขณะที่เส้นใยอาหารจากมะละกอสามารถจับกับสารพิษก่อมะเร็งในลำไส้ใหญ่แล้วพาส่งออกไป ทำให้เกิดการสัมผัสกับเซลล์ลำไส้ใหญ่น้อยที่สุด
@ ฤทธิ์ต้านอักเสบ
มะละกอมีเอนไซม์ปาเปนและไคโมปาเปนช่วยย่อยโปรตีน รวมถึงช่วยลดการอักเสบ พร้อมทั้งกระตุ้นการสมานแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก โดยงานวิจัยจากประเทศมาเลเซียพบว่าสารสกัดจากเปลือกผลมะละกอดิบเร่งอัตราเร็วของการสมานแผลในหนูทดลองได้เร็วกว่าการใช้ยาทา Solcoseryl ถึง 1 สัปดาห์
นอกจากนี้ เบตาแคโรทีน วิตามินซีและอีในมะละกอก็มีฤทธิ์ลดการอักเสบเช่นกัน ดังนั้น ผู้ป่วยโรคหอบหืด โรคข้อเสื่อม และข้ออักเสบรูมาตอยด์จะได้ประโยชน์จากการกินมะละกอเพื่อลดอาการของโรคดังกล่าว ปัจจุบันมีการใช้เอนไซม์จากมะละกอดังกล่าวผลิตเป็นยาเม็ด ลดอาการบวม ลดการอักเสบจากบาดแผลหรือการผ่าตัดแล้ว
@ ช่วยระบบภูมิคุ้มกัน
ร่างกายมนุษย์สามารถเปลี่ยนบีตาแคโรทีนที่ได้จากมะละกอสุก เป็นวิตามินเอและซีได้ เนื่องจากร่างกายต้องการวิตามินทั้งสองเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ให้ทำหน้าที่ได้ราบรื่น จึงพบว่าการกินมะละกอเป็นประจำอาจลดความถี่การเกิดไข้หวัดและการติดเชื้อในช่องหูได้
@ การป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อม
งานวิจัยตีพิมพ์ในต่างประเทศกล่าวว่าการกินผลไม้ 3 ครั้งต่อวัน อาจลดความเสี่ยงของอาการภาวะจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุ เนื่องจากคนไทยกินมะละกอ ทั้งดิบหรือสุกอยู่เป็นปกติ ดังนั้นเราจึงมีความเสี่ยงในการเกิดโรคดังกล่าวลดลงในยามชรา
@ ป้องกันโรคถุงลมปอดโป่งพอง และมะเร็งปอด
งานวิจัยของมหาวิทยาลัยรัฐแคนซัส สหรัฐอเมริกา พบว่า สารก่อมะเร็งจากบุหรี่ (Benzo(a)pyrene) ทำให้เกิดการขาดวิตามินเอในสัตว์ทดลองที่ได้รับอาหารปกติ และเกิดอาการถุงลมปอดโป่งพอง แต่สัตว์ที่ได้รับวิตามินเอปริมาณมากแต่ได้รับสารดังกล่าวไม่พบว่ามีอาการถุงลมปอดโป่งพอง ผู้วิจัยจึงเชื่อว่าผู้ที่สูบบุหรี่หรือได้รับควันบุหรี่เป็นประจำ ควรป้องกันตัวเองด้วยการกินอาหารที่มีวิตามินเอสูงเป็นประจำ และมะละกอสุกก็เป็นหนึ่งในอาหารดังกล่าว
@ เมล็ดมะละกอใช้รักษามะเร็ง
ที่ประเทศอินเดียกล่าวสืบทอดกันมาแต่บรรพบุรุษ ว่าเมล็ดมะละกอใช้รักษาโรคมะเร็งได้ อีกทั้งงานวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นรายงานเมื่อเดือนม.ค.2550 ว่าเมล็ดมะละกอมีเอนไซม์ไมโรซิเนส และสารเบนซิลกลูโคซิโนเลตในปริมาณมาก โดยสารเบนซิลกลูซิโนเลต ร่างกายมนุษย์ย่อยสารนี้โดยใช้เอนไซม์ไมโรซิเนส ทำให้ได้สารต้านมะเร็ง งานวิจัยยังพบว่าสารสกัดเฮกเซนของเมล็ดมะละกอมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างสารซูเปอร์ออกไซด์ และมีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งแบบอะป๊อปโทซิส จะเห็นว่าเมล็ดมะละกอมีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้จริงตามภูมิปัญญาการแพทย์อินเดีย แต่ต้องใช้เวลาอีกมากกว่าจะมีการพัฒนาเป็นยาแผนปัจจุบันได้ต่อไป
เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจาก “มะละกอ”
@ น้ำมะละกอสุกช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยการทำงานของลำไส้ ทำความสะอาดไต และเป็นยาระบายอ่อนๆ อย่างดีด้วย
วิธีทำน้ำมะละกอสุก เริ่มจากการเลือกมะละกอที่สุกกำลังดี เนื้อไม่แข็ง หรือเละจนเกินไป เนื้อเนียน รสหวาน นำมะละกอสุกหั่นเอาแต่เนื้อครึ่งถ้วย น้ำเย็นจัด 1 ถ้วย ผง อบเชย 1/8 ช้อนชา เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำมะนาว 2 ช้อนชา ปั่นมะละกอกับน้ำเย็นจัด เกลือ น้ำมะนาวเข้าด้วยกัน รินใส่แก้ว โรยด้วยผงอบเชย ดื่มเย็นๆ ทันที
@ ชามะละกอดิบ ช่วยล้างระบบดูดซึมสารอาหาร คือ ล้างคราบไขมันบริเวณผนังลำไส้ซึ่งขัดขวางการดูดซึมสารอาหารและวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย อีกทั้งมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดด้วย
ชามะละกอทำได้ด้วยการใช้มะละกอดิบไม่อ่อนเกินไปครึ่งผล ชาเขียว หรือชาจีน หรือชาใบหม่อน อย่างใดอย่างหนึ่ง เพิ่มดอกเก๊กฮวย ใบเตย หรือรากเตยไปด้วยถ้ามี จากนั้น ปอกเปลือกมะละกอล้างน้ำให้สะอาด แล้วหั่นแบบชิ้นฟัก นำชิ้นมะละกอใส่หม้อ เติมน้ำ 3-4 ลิตร ตั้งไฟ แล้วใส่ดอกเก๊กฮวย หรือใบเตย หรือรากเตย และเมื่อน้ำเดือดสักพักหนึ่ง ยกหม้อลง ตักมะละกอ และดอกเก๊กฮวยออก ให้เหลือแต่น้ำ แล้วนำน้ำดังกล่าวไปชงชา ใส่ใบชาประมาณครึ่งกำมือ หลัง 5 นาทีกรองเอากากชาออก ทิ้งไว้ให้เย็นดื่มได้ทันที หรือบรรจุขวดเก็บไว้ในตู้เย็นได้ประมาณ 3 วัน.