BIZ: บทบาทของพ่อควรเป็นอย่างไร? เป็น ‘คุณพ่อ Gen Y’ ไม่ง่าย เพราะที่ทำงานก็คาดหวังให้ทุ่มเต็ม 100% และภรรยาก็คาดหวังให้ต้องช่วยเลี้ยงลูก
ทุกวันนี้เวลาเราพูดถึง ‘ความลำบากของการเลี้ยงลูก’ ภาพจำนวนมากจากโลกตะวันตกคือภาพความลำบากของคนเป็นแม่เป็นหลัก ที่ต้องทำงานให้ได้ตามความคาดหวังของสังคมไปพร้อมๆ กับสวมบทบาทเป็นแม่ของลูกไปพร้อมกัน
ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรผิด แต่ทาง Business Insider ตั้งข้อสังเกตว่า การฉายภาพแบบนี้อย่างต่อเนื่องยาวนาน ทำให้ดูราวกับว่า ‘การเป็นพ่อ’ ในยุคสมัยนี้ยังคงสบายเหมือนยุคก่อน แต่ไม่จริงเลย เหตุที่ภาพบทบาทความเป็นพ่อของยุคนี้มันหายไป เพราะบรรยากาศสังคมเน้นแต่พูดถึง ‘ความได้เปรียบของผู้ชาย’ ทำให้เขาเลือกไปสัมภาษณ์เหล่าคุณพ่อ Gen Y และได้ภาพที่น่าสนใจมาก
อย่างแรกเลยที่เขาพบคือ บรรดาคุณพ่อยุคนี้ในอเมริกา ใช้เวลาเลี้ยงลูกมากกว่าเมื่อ 50 ปีก่อนราวๆ 3 เท่าตัว และนี่เป็นการยืนยันภาพของพ่อแม่ยุคหลังๆ ว่าการ ‘ช่วยกันเลี้ยงลูก’ นับเป็นเรื่องปกติ พ่อไม่ใช่คนที่คอยหาเงินเข้าบ้าน แม่ไม่ได้เป็นคนเลี้ยงลูกแต่เพียงฝ่ายเดียวอีกแล้ว ทั้งคู่ล้วนทำงานหาเงินและช่วยกันเลี้ยงดูลูก
ทั้งหมดฟังดูเป็นเรื่องปกติ เป็นความคาดหวังสำหรับคู่รักสมัยใหม่ที่จะไม่ต้องมีใครเลี้ยงลูกแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่สำหรับภาคธุรกิจ ความคาดหวังต่างๆ ยังไม่ได้เปลี่ยนตามค่านิยมของยุคปัจจุบัน
ตั้งแต่แรกเกิดเลย กฎหมายของอเมริกาและประเทศส่วนใหญ่ในโลกไม่ได้เห็นความสำคัญกับการให้เวลาเพื่อ ‘ลาไปเลี้ยงลูกเล็ก’ ระหว่างหญิงและชายเท่าเทียมกัน ผู้หญิงได้มากกว่าเสมอ ดังนั้นตั้งแต่ลูกอายุยังไม่ถึง 1 ปี ผู้เป็นแม่จะเป็นคนที่ต้องเลี้ยงลูกเป็นส่วนใหญ่ เพราะแม่ได้วันหยุดมากกว่า และนี่ไม่ใช่ความผิดของพ่อ กฎหมายแรงงานมันกำหนดมาแบบนั้น
พอลูกเริ่มโต แม่กลับไปทำงานได้ และพ่อแม่ช่วยกันเลี้ยงลูก ในทางปฏิบัติบริษัทและแหล่งทุนจำนวนมากก็ยังมีอคติกับการเลี้ยงลูกอยู่ โดยเฉพาะในระดับผู้บริหาร พูดง่ายๆ คือเขาจะมองว่าคนที่มีลูกจะทุ่มเทให้บริษัทได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นสิ่งที่เกิดคือพ่อจำนวนมาก ถ้าไม่ปิดเลยว่าไม่มีลูก ก็ต้องให้เจ้านายเข้าใจว่าเขาแค่หาเงิน ภรรยาเป็นคนเลี้ยงลูก แต่ในความเป็นจริง คือช่วยกันเลี้ยง แค่เปิดเผยไม่ได้ เพราะมันไม่ดีต่องาน
ความประหลาดนี้ทำให้พ่อ Gen Y จำนวนมากต้อง ‘แอบเล่นบทบาทพ่อ’ คือแสดงความเป็นพ่อออกมาไม่ได้ เพราะอาจกระทบกับงาน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่พิลึก และน่าจะไม่ดีนักในยุคที่ทั่วโลกโวยวายกันว่าทำไมคนถึงมีลูกกันน้อยลง
ในบริบทอเมริกา ต้องเข้าใจก่อนว่าก่อนหน้านี้ช่วง COVID-19 คน Gen Y ตัดสินใจมีลูกกันมากขึ้นตอนล็อกดาวน์ ซึ่งตอนนั้นพวกเขามีเวลาอยู่บ้านเลี้ยงลูก แต่ตัดมาปัจจุบัน ภายใต้รัฐบาลใหม่ของโดนัลด์ ทรัมป์ มีการพยายามที่จะทำให้ทุกคน ‘กลับเข้าออฟฟิศ’ ซึ่งบรรยากาศแบบนี้สะท้อนมาจากบรรดาบริษัทเทคโนโลยีใหญ่มาก่อนหน้านี้ และพอรัฐบาลกลางเอาด้วยก็ไปกันใหญ่ ภาวะแบบนี้ทำให้คนเป็นพ่อมีเวลาให้ลูกน้อยลงแน่ๆ และสิ่งที่ยิ่งหนักกว่านั้นก็คือ บรรยากาศทางความคิดในอเมริกาหลังทรัมป์ชนะเลือกตั้งมันคือการ ‘ลดความเป็นหญิงแบบหัวก้าวหน้าให้น้อยลง เพิ่มความเป็นชายตามจารีตให้มากขึ้น’ ดังนั้นบริษัทต่างๆ ก็คาดหวังว่าพนักงานชายจะเป็น ‘ชายตามจารีต’ ที่ทุ่มเทเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ให้บริษัท แล้วปล่อยให้ภรรยาเลี้ยงลูกอยู่บ้านไป
ประเด็นคือมันแทบไม่มีบ้านไหนเป็นแบบนั้นอีกแล้ว ผู้หญิงยุคใหม่ๆ แทบทั้งหมดถ้าจะแต่งงานและมีลูก ก็คาดหวังให้ฝ่ายชายช่วยดูแลลูกกันทั้งนั้น และนี่ทำให้ คุณพ่อ Gen Y ต้องสร้างสมดุลอันน่าปวดหัวระหว่างการเรียกร้องของครอบครัวและการเรียกร้องจากที่ทำงาน
ทั้งหมดนี้ไม่ง่าย และก็ยิ่งไม่ง่ายในยุคที่แค่การบอกว่า ‘ผู้ชายก็ลำบาก’ ก็อาจโดนฟาดและหงายการ์ดอย่าง ‘สังคมชายเป็นใหญ่’ และ ‘ความเป็นชายเป็นพิษ’ กันง่ายๆ
ประเด็นคือทั้งสังคมอาจต้องมีบทสนทนาใหม่ระหว่างบทบาทของชายและหญิงในแง่ของการผลิตซ้ำมนุษย์และสังคม ว่าคนรุ่นใหม่ๆ คิดอย่างไร คนรุ่นเก่าควรจะปรับความคาดหวังอย่างไร และอันที่จริงควรจะคุยกันอย่างเร่งด่วน ถ้าสังคมมองว่าภาวะ ‘คนรุ่นใหม่ไม่มีลูก’ คือปัญหาที่ต้องแก้ก่อนภาวะสังคมผู้สูงอายุจะหายนะไปกว่านี้