กรมสรรพากร รุกใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพ เก็บภาษี แทนออกภาษีใหม่ หลังประเมินการจัดเก็บรายได้จ่อ ‘ไม่ถึงเป้า’ ในปีงบ 68
กรมสรรพากร คาด การจัดเก็บรายได้ปีนี้เสี่ยง ‘ไม่ถึงเป้า’ แต่ยังไม่มีแผนออกมาตรการ ‘เก็บภาษี’ ใหม่ เหตุภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว จ่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีผ่านการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) แทน พร้อมตั้งเป้าเป็นองค์กรที่ปรับใช้ AI อย่างเต็มรูปแบบ ภายในปี 2570
วันนี้ (29 กรกฎาคม) ปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากรกล่าวว่า การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรในปีงบประมาณ 2568 ซึ่งสิ้นสุดในสิ้นเดือนกันยายนนี้ อาจไม่ถึงเป้าหมายที่ 2.37 ล้านล้านบาท ท่ามกลางความท้าทายในการจัดเก็บภาษี หลังผลกระทบของการค้าโลก
อย่างไรก็ตาม ปิ่นสาย เปิดเผยว่า รายได้ที่กรมสรรพากรจัดเก็บเองอาจแตะระดับ 1.7 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปีงบประมาณนี้ กระนั้น การนำส่งรายได้ของสรรพากรที่จัดเก็บโดยหน่วยงานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต กรมที่ดิน หรือหน่วยงานอื่นๆ อาจเผชิญความท้าทาย เนื่องจากต้องเผชิญผลกระทบของการค้าโลก
ตามข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงการคลังระบุว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 กรมสรรพากรจัดเก็บรายได้อยู่ที่ 1,353,849 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2.5% แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมาย 0.6%
ปิ่นสายอธิบายว่า ผลประกอบการของภาคธุรกิจ เติบโตแตกต่างกันไปตามกลุ่มอุตสาหกรรม (Sector) โดยตามการตรวจสอบ ‘ภ.ง.ด. 51’ หรือแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี (6 เดือน) พบว่า มีภาคธุรกิจเพียง 2 กลุ่มเท่านั้น ที่มีผลประกอบการดี ได้แก่ กลุ่มธุรกิจโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) และกลุ่มธุรกิจการเงินส่วนใหญ่
ขณะที่กลุ่มธุรกิจเช่าซื้อ (Hire-Purchase) แม้จะอยู่ในภาคการเงิน แต่ก็มีผลประกอบการไม่ดีนัก ตลอดจนภาคธุรกิจส่วนใหญ่ เช่น ขนส่ง รถยนต์ ภาคการผลิตและโครงสร้าง ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) น้ำมันและปิโตรเคมี ก็มีผลประกอบการไม่ดีเช่นกัน
ไม่ออกภาษีใหม่ มุ่งเป้าใช้ AI ลดเวลา เพิ่มรายได้
ปิ่นสายกล่าวอีกว่า แม้รัฐบาลจะมีแผนปฏิรูปโครงสร้างภาษี แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว จึงยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมต่อการออกมาตรการจัดเก็บภาษีใหม่เพิ่มเติม กรมสรรพากรจึงต้องหันมามุ่งเน้น การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีผ่านการใช้ AI แทน
ซึ่งกรมสรรพากรหันมาจับมือกับ สวทช. และ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อมุ่งเป้า สู่เป็นองค์กรที่ปรับใช้ AI อย่างเต็มรูปแบบภายในปี 2570
โดย สวทช. จะมีส่วนช่วยในเรื่องของเทคโนโลยี และการฝึกอบรมบุคลากร ขณะที่ธนาคารกรุงไทย มีส่วนช่วยด้านโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ซึ่งมี ‘วายุ คลาวด์’ เป็นพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว
ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาการประยุกต์ใช้ AI แล้ว 4 โครงการ ประกอบด้วย
- AI แชตบอทช่วยตอบปัญหาเรื่องภาษี ซึ่งอนาคตจะปรับให้มีการตอบโต้ในรูปแบบเสียง
- ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์การจัดเก็บภาษีจากฐานข้อมูลที่มีอยู่มหาศาล
- ช่วยสแกนเอกสารข้อมูลที่ยังเป็นกระดาษ เพื่อเติมข้อมูลเข้าระบบ ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนการประมวลผลให้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
- ช่วยเรื่องข้อมูลหลังบ้านจัดระเบียบข้อมูลผู้ใช้งานให้เป็น One Portal, One Profile เพื่อติดตามพฤติกรรมการเสียภาษีรายบุคคล
ทั้งนี้ ปิ่นสายกล่าวว่าโครงการที่ดำเนินไปแล้วส่วนใหญ่เป็นงานสนับสนุน ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า AIสามารถลดเวลางานลงเหลือเพียง 6 ชั่วโมง จากที่ต้องใช้แรงคนถึง 100 ชั่วโมง เมื่อทำงานตามวิธีปกติ
สุดท้ายแล้ว ปิ่นสายหวังว่า กรมสรรพากรจะสามารถนำ AI มาช่วยหาแหล่งรายได้เพิ่ม รวมถึงหาฐานภาษีใหม่ เพื่อเพิ่มรายรับภาษีต่อไปในอนาคต