“ของเก่าที่เรารัก” เมื่อสิ่งของไม่ได้มีไว้แค่ใช้งาน แต่ยังมีค่าทางใจ ชวนไปดูเหตุผลว่าทำไมเราถึงควรเก็บของชิ้นเดิมใว้ให้นาน
ผ้าเน่า ตุ๊กตานุ่มนิ่ม เสื้อยืดเปื่อยยุ่ย เครื่องเล่นเพลงเครื่องโปรด และสิ่งของอีกสารพัดอย่าง ที่แม้จะผ่านไปนานแค่ไหน หรืออาจใช้งานไม่ได้เท่าเดิมเหมือนวันเก่าๆ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังอยากจะเก็บเอาไว้ใกล้ตัว เพราะแค่ได้เห็น หรือยังได้สัมผัสทุกครั้งที่ต้องการเท่านี้ก็พอใจแล้ว
ทั้งๆ ที่ของชิ้นใหม่ก็น่าดึงดูดใจมากกว่า แต่ทำไมเราถึงยังสบายใจกับของชิ้นเดิมที่อยู่กับเรามานานขนาดนี้นะ วันนี้ชวนทุกคนไปเข้าใจเหตุผลที่ทำให้เราไม่อยากเปลี่ยนใจจากของรักชิ้นเก่ากันให้มากขึ้น แล้วจะมีวิธีไหนบ้างที่ทำให้สิ่งของเหล่านี้ยังอยู่กับเราได้อีกนานๆ กัน
ทำไมเราถึงรักสิ่งของ
ความสัมพันธ์ของมนุษย์เป็นเรื่องซับซ้อนมากกว่าที่เราคิด ความรู้สึกผูกพันไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์และมนุษย์อย่างเดียว แต่เรายังสามารถสร้างความผูกพันกับสิ่งของได้ด้วย
แม้สิ่งของที่อยู่กับเรามานานมีทีท่าจะใช้งานไม่ได้เหมือนเดิมแล้ว แต่หลายคนก็ไม่อาจตัดใจทิ้งลงถังขยะได้ง่ายๆ เพราะเราเองก็มีความรู้สึกผูกพันกับสิ่งของด้วยเช่นกัน แม้ว่าของชิ้นนั้นอาจไม่ได้มีราคาแพง แต่หากมันมีคุณค่าทางใจ เช่น ทำให้เรานึกถึงความทรงจำดีๆ ทำให้นึกถึงใครบางคนที่เรารัก หรือทำให้เรารู้สึกสบาย ของสิ่งนั้นก็กลายเป็นของที่เรายกให้เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ต่างจากคนที่เรารัก
นิค นีฟ (Nick Neave) นักจิตวิทยาวิวัฒนาการจากมหาวิทยาลัย Northumbria ในอังกฤษ อธิบายว่าการเก็บสะสมสิ่งของเป็นหนึ่งในวิวัฒนาการของมนุษย์ สำหรับการเอาตัวรอดมาตั้งแต่โบราณ เพื่อทำให้เรารู้สึกปลอดภัยและมั่นคง เมื่อเทียบกับการไม่มีสิ่งของแล้ว อาจทำให้คนนั้นรู้สึกเปราะบางกว่ามาก นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ใครหลายคนล้วนเก็บสิ่งของบางอย่างไว้
นอกจากนี้การที่เราผูกพันกับสิ่งของยังสามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีความผูกพัน (Attachment Theory) โดยมีงานวิจัยปี 2012 ของ ลูคัส คีเฟอร์ (Lucas A. Keefer) จากมหาวิทยาลัย Southern Mississippi พบว่ายิ่งคนมีความสัมพันธ์ไม่มั่นคง เช่น คนที่มีความผูกพันแบบหลีกเลี่ยง (Avoidant Attachment Style) หรือ คนที่มีความผูกพันแบบวิตกกังวล (Anxious Attachment Style) เมื่อรู้สึกไม่มั่นใจก็ยิ่งมีพฤติกรรมติดสิ่งของเพิ่มมากขึ้น เพราะยิ่งพวกเขาถูกกระตุ้นให้รู้สึกถึงความไม่มั่นคงในความสัมพันธ์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกอยากได้สิ่งของมาอยู่ใกล้ตัวเพื่อให้รู้สึกสบายใจเท่านั้น
แม้ในช่วงเวลาที่หลายคนรู้สึกกังวลจะยิ่งรู้สึกโหยหาสิ่งของมากขึ้น แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับมนุษย์ เพราะไม่ว่าใครต่างก็ต้องการความรู้สึกปลอดภัย และความมั่นคงในชีวิต ดังนั้นจึงไม่แปลกหากคนจะเก็บผ้าห่มกลิ่นเฉพาะ ตุ๊กตาน้องเน่า หรือเสื้อยืดย้วยๆ ไว้กับตัวเอง เพราะอย่างน้อยก็ช่วยให้รู้สึกอุ่นใจได้นั่นเอง
แต่นอกจากความสบายใจแล้ว ในภาพใหญ่ การเก็บรักษาของให้อยู่ได้นานๆ ยังเป็นการช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมได้เช่นกัน เพราะที่ผ่านมาวงจรการใช้สิ่งของแล้วทิ้งในเวลาอันรวดเร็วเกินไป มักตามมาด้วยปัญหาหลายด้าน ข้อมูลจาก Business Waste บริษัทที่ทำงานด้านการจัดการของเสียจากอังกฤษ ระบุว่าทุกๆ ปี แต่ละครัวเรือนจะผลิตของเหลือทิ้งจำนวนกว่า 26 ล้านตันต่อปี ซึ่งมีเพียง 12 ล้านตันเท่านั้นที่สามารถรีไซเคิลได้ หมายความว่าที่เหลืออีกประมาณ 14 ล้านตัน กลายเป็นของเหลือทิ้งที่ต้องจัดการให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น โลหะในสมาร์ตโฟนที่รีไซเคิลได้ยาก หากถูกเผาหรือฝังกลบก็ส่งผลเสีย ทั้งต่อดิน แม่น้ำ และอากาศ
ดังนั้นในแง่หนึ่งการลดของเหลือทิ้ง และหันมารักษาของที่ตัวเองมีอยู่ให้ใช้ได้นานๆ จึงเป็นวิธีที่ทุกคนสามารถทำได้ง่ายๆ นอกจากจะช่วยรักษาพลังงานจากการจัดการขยะ ยังช่วยรักษาทรัพยากรจากการผลิตใหม่ แถมยังช่วยประหยัดเงินให้เรามีเงินเหลือมากขึ้นไปใช้กับสิ่งที่จำเป็นกว่าด้วยนะ
วิธีดูแลให้สิ่งของที่เรารักอยู่ไปได้อีกนานแสนนาน
สิ่งของที่เรารักไม่ได้แค่ให้ประโยชน์ในเรื่องของการใช้งานเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยให้เรารู้สึกสบายใจเมื่อได้อยู่ใกล้ด้วย ดังนั้นการรักษาสิ่งของให้อยู่กับเราได้นานๆ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วย
สิ่งของแต่ละอย่างมักมีอายุการใช้งาน และวิธีเก็บรักษาไม่เหมือนกัน ดังนั้นเพื่อให้เราสามารถอยู่กับของที่รักไปได้อีกนานๆ เราเลยอยากชวนไปดูว่าจะมีวิธีไหนบ้าง เพื่อยืดอายุการใช้งานของของแต่ละชิ้นกันดีกว่าว่าควรเก็บรักษายังไง
ทำความรู้จักสิ่งของ: อย่าลืมว่าสิ่งของแต่ละชนิดก็มีวิธีดูแลรักษาที่ต่างกันไป เนื่องจากวัตถุดิบแต่ละชิ้นก็มีคุณสมบัติเฉพาะตัว เช่น ของบางชิ้นชอบที่แห้ง ของบางชิ้นไม่ชอบโดนแสงแดด หรือทนความร้อนได้ไม่เท่ากัน ดังนั้นก่อนหยิบมาใช้อย่าลืมอ่านคำแนะนำเกี่ยวกับสิ่งของชิ้นนั้นให้ละเอียดก่อน เพื่อที่เราจะได้ดูแลของชิ้นนั้นอย่างเหมาะสมก่อนนะ
ซ่อมแซม: แน่นอนว่าการใช้สิ่งของสักชิ้นไปนานๆ ย่อมมีความเสื่อมหรือผุพังบ้างเป็นธรรมดา ซึ่งการซ่อมแซม หรือบำรุงรักษาอยู่เสมอก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้สิ่งของชิ้นนั้นอยู่กับเราไปได้อีกนานๆ หากดูแล้วว่าสิ่งของชิ้นนั้นหลังจากซ่อมแซมแล้วสามารถนำกลับมาใช้ได้อย่างปลอดภัย ก็อาจจะลองพยายามซ่อมด้วยตัวเองก่อน หรือลองฝึกงานฝีมือ เช่น งานเย็บปักถักร้อยง่ายๆ เท่านี้ก็ช่วยยืดอายุของที่เรารักได้แล้ว หรือถ้าหากการซ่อมแซมนั้นยากเกินความสามารถจริงๆ ก็อาจจะลองติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญมาช่วยอีกแรงก็ได้นะ
นำกลับมาใช้ใหม่ ก่อนรีไซเคิล: แน่นอนว่าการใช้ของให้ตรงวัตถุประสงค์การใช้งานเป็นเรื่องสำคัญ แต่บางครั้งมันก็อาจมีประโยชน์ด้านอื่นๆ ด้วยก็ได้นี่นา หากสิ่งของชิ้นนั้นไปต่อกับเราไม่ไหวแล้ว นอกจากจะโยนทิ้งไป อาจลองหาวิธีใช้งานรูปแบบใหม่ๆ ดู เช่น กระเป๋าเดินทางที่พังแล้วอาจเป็นที่นอนใหม่แสนสบายของเจ้าเหมียว หรือเสื้อยืดตัวโปรดอาจกลายเป็นผ้ารองแก้วก็ได้ แค่นี้สิ่งของที่เรารักก็กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งแล้ว
แบ่งปันให้คนอื่น: แม้จะเป็นสิ่งของที่เรารัก แต่หากอยู่กับเราแล้วมันไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ บางทีการแบ่งปันให้คนอื่นได้ใช้บ้างก็เป็นวิธีที่ช่วยสิ่งของกลับมามีคุณค่าอีกครั้ง แถมยังเป็นทางหนึ่งที่ทำให้อีกฝ่ายได้ดูแลสิ่งของแทนเราด้วย เช่น จักรยานตัวโปรดที่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาได้ใช้ อาจจะลองเสนอให้คนสนิทหรือคนในครอบครัวนำไปใช้ในวันธรรมดาแทน นอกจากมีคนช่วยดูแลแล้ว ยังทำให้ความสัมพันธ์เราใกล้ชิดมากขึ้นกว่าเดิมด้วย
อย่างไรก็ตามถึงการได้อยู่กับสิ่งของที่รักจะช่วยให้เรารู้สึกดีแค่ไหน แต่ที่สำคัญก็ต้องเก็บของอย่างมีสติด้วยนะ เพราะบางครั้งการเก็บของที่มากเกินไปอาจนำไปสู่ “โรคชอบเก็บสะสม” หรือ Hoarding Disorder ได้ การยึดติดกับของทุกชิ้นจนไม่กล้าทิ้ง อาจเป็นอันตรายต่อการใช้ชีวิต เช่น การสะดุดล้ม ภูมิแพ้จากฝุ่น หรือนำมาสู่ความเครียดและวิตกกังวลจากสิ่งของมากมายเหล่านี้ได้
ดังนั้นอาจเป็นเรื่องดีกว่าหากว่าเราได้กลับมาทบทวนดูว่าของที่สำคัญจริงๆ แล้วคืออะไรกันแน่
แล้วพยายามดูแล และทะนุถนอมสิ่งของเหล่านั้น เพื่อให้อยู่กับเราไปได้อีกนานๆ
อ้างอิง