เปิดเหตุผล ‘อดีตเจ้าวัดใหญ่จอมปราสาท’ ยอมโอนเงินหลักหมื่นให้ ‘สีกากอล์ฟ’
เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่อุทยานหลวงพ่อโต วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร ขอเข้าพบท่านพระราชวัชรสาครคณี เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร เจ้าอาวาสวัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร เพื่อสอบถามถึงกรณีที่มหาทิวากร ดีไพร อดีตเจ้าอาวาสวัดใหญ่จอมปราสาท เข้าพบและขอลาสิกขา เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 17 ก.ค. 68 ที่ผ่านมา
พระราชวัชรสาครคณี เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า เมื่อเวลา 2 ทุ่มกว่าๆ ของคืนวันที่ 17 ก.ค. มหาทิวากร ได้เดินทางมาหาตน พร้อมกับลูกศิษย์วัด 1 คน และพระภิกษุสงฆ์อีก 1 รูป ซึ่งตนก็ไม่รู้จักว่าเป็นใคร โดยการมาครั้งนี้ ไม่ได้มีการโทรฯ มานัดหมายก่อนแต่อย่างใดทั้งสิ้น แล้วก็บอกว่าจะขอสึก เพื่อให้เกิดความสบายใจของคณะสงฆ์ในสมุทรสาคร ซึ่งก่อนที่จะสึกให้นั้น อาตมาได้มีการสอบถามแล้วว่า ท่านปาราชิกหรือไม่ ก็ได้รับคำยืนยันจากมหาทิวากรว่า ไม่ปาราชิก ดังนั้นเมื่อเขายืนยันเช่นนั้น อาตมาก็ได้สึกให้ตามลำดับขั้นตอน หลังจากนั้นมีการพูดคุยกันอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนที่จะลากลับไป แต่ไม่ได้สอบถามว่าจะไปไหน หรือก่อนหน้านี้ไปอยู่ที่ไหนมา เพราะไม่ใช่เรื่องของเรา โดยทางมหาทิวากรบอกว่า จะเดินทางไปอมก๋อยต่อ ซึ่งจะจริงเท็จประการใดนั้น ไม่สามารถยืนยันได้ เพียงแต่เขาพูดมาแบบนี้
“พระมหาทิวากร” ลาสิกขาแล้ว! ปมพัวพัน”สีกากอล์ฟ” หลังหายตัวจากวัดนาน 7 วัน
พระราชวัชรสาครคณี ยังกล่าวอีกว่า เขามาขอสึกนี้ ได้มาพร้อมกับเอกสารทางการเงินที่รับมาและใช้จ่ายไปเกือบ 10 แผ่น ซึ่งเป็นในส่วนที่เป็นรายได้ของวัดโดยตรงตั้งแต่ปี 2564-2567 เช่น เงินกฐิน และเงินบริจาค พร้อมกันนี้ ยังนำภาพการก่อสร้างและการปฏิสังขรณ์สิ่งต่างๆ ในวัดอีกกว่า 20 แผ่น มาให้ไว้เป็นหลักฐานด้วย นอกจากนี้ยังได้นำเงินประมาณ 30,000 กว่าบาท ใส่ซองมามอบให้กับอาตมาไว้ เพื่อนำไปมอบคืนให้แก่เจ้าคณะตำบล และส่งต่อให้กับผู้ที่จะรักษาการเจ้าอาวาสวัดใหญ่จอมปราสาทต่อไป โดยเงิน 30,000 กว่าบาท ที่นำมาให้นี้ เป็นเงินบริจาค 70,000 บาท ที่มหาทิวากรนำติดตัวไปด้วย แล้วเอาไปจ่ายค่าไฟฟ้าเดือนที่แล้วกว่า 30,000 บาท ส่วนที่เหลือ ก็นำมาให้อาตมาเพื่อส่งต่อผู้ที่ต้องดูแลวัดตามลำดับขั้นตอนต่อไป
ส่วนเรื่องที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสีกากอล์ฟได้อย่างไรนั้น มหาทิวากร ก็เล่าว่า ทางสีกาเคยมาทำบุญที่วัด จากนั้นก็มีการโทรศัพท์มาขอยืมเงิน โดยอ้างว่าป่วยเข้าโรงพยาบาลแล้วไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา จะขอยืมเงินไปจ่ายหมอเพื่อจะออกจากโรงพยาบาล ซึ่งมหาทิวากรก็เห็นว่าเคยมาทำบุญที่วัด จึงตัดสินใจโอนให้ไป จากนั้นก็มีการขอยืมกันมาเรื่อยๆ แต่ละครั้งไม่มากเท่าไหร่ ตามที่บอกก็เป็นหลักหมื่น พอยืมไปก็มีการโอนคืนบ้าง หรือเป็นเงินสดบ้าง ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ตรวจสอบและสอบสวน เพราะเขาเองก็สึกไปแล้ว จึงไม่เกี่ยวกับทางสงฆ์อีก เป็นเรื่องของตำรวจแล้ว จะมีความผิดหรือไม่ และจะจริงเท็จแค่ไหนจากข้อมูลที่เขาเล่ามานั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับการพิสูจน์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น.