ไทยโต้กลับ! "มาริษ" เปิด 9 ประเด็นสำคัญกลางเวทีทูต ลั่นกัมพูชาเปิดฉากก่อน-ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ถึงผลการบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่จัดขึ้นเมื่อเวลา 10.30 น. ที่ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ
นายนิกรเดชกล่าวว่า ในการบรรยายสรุปดังกล่าวนำโดยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ,นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และนางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ขณะที่การบรรยายสรุปครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมรับฟังทั้งสิ้น 121 คน โดยในจำนวนนี้เป็นเอกอัครราชทูตและผู้แทนจาก 74 ประเทศ และ 1 องค์กรคือ สหภาพยุโรป (อียู) และองค์การระหว่างประเทศจำนวน 16 องค์การ ทั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชา ได้ส่งเจ้าหน้าที่ระดับเลขานุการโท มาร่วมสังเกตการณ์ด้วย
นายมาริษได้กล่าวเปิดการบรรยายสรุป และกล่าววัตถุประสงค์ของการบรรยายสรุปในครั้งนี้ รวมถึงชี้แจงท่าทีของไทยในการประชุมสมัยพิเศษที่เมืองปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ที่นำไปสู่การหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชา นายมาริษได้ย้ำแก่คณะทูตว่าความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาไม่ใช่สิ่งที่ไทยต้องการแต่น่าเสียดายที่กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มการขัดแย้งนี้ก่อน เสร็จสิ้นจากนั้น อธิบดีกรมเอเชียตะวันออกได้ให้ภาพรวม ลำดับเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาตั้งแต่ก่อนการปะทะกันจนถึงตอนนี้และอนาคตที่จะมีการจัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ในเร็วๆ นี้ จากนั้น อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศ กฎหมายสิทธิมนุษยชน และการบิดเบือนข้อมูลของกัมพูชาในเวทีระหว่างประเทศ ตลอดจนการชี้แจงนำเสนอข้อเท็จจริงและการประท้วงของไทยในเวทีพหุภาคีต่างๆ
นายนิกรเดชได้กล่าวประเด็นจากการบรรยายสรุปดังกล่าวใน 9 หัวข้อ ดังนี้
1.ไทยมีความรับผิดชอบต่อประชาคมระหว่างประเทศ ยึดมั่นในสันติภาพ กฎหมายระหว่างประเทศ หลักการสากลต่างๆ และมุ่งมั่นเสริมความสัมพันธ์กับกัมพูชาในฐานะเพื่อนบ้านที่ดี แต่ความมุ่งหวังนั้นไม่ได้รับการตอบสนองที่ดีจากกัมพูชาเพราะกัมพูชาทำการยั่วยุไทยหลายครั้งตั้งแต่ต้นปีและทำการเปิดฉากโจมตีไทยและละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศในหลายกรณี
2.ไทยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่บ่งชี้ว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มต้นโจมตีไทยก่อนและโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าหมาย ส่งผลให้สถานที่พลเรือนได้รับความเสียหาย ทำให้พลเรือนและเด็กเสียชีวิต-บาดเจ็บ ประชาชนนับแสนคนต้องอพยพ ซึ่งคณะผู้ช่วยทูตทหารได้ลงพื้นที่ไปเห็นแล้วเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม
3.การตอบโต้ของไทยทุกครั้งเป็นการใช้สิทธิป้องกันตัวเองโดยชอบธรรมตามกฎบัตรสหประชาชาติ เพื่อปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความปลอดภัยของประชาชน นอกจากนั้น ปฏิบัติการทางทหารของไทยมีการไตร่ตรองอย่างดีแล้ว และมุ่งเป้าไปที่เป้าหมายทางทหารของกัมพูชาเท่านั้นจึงไม่ถือเป็นการรุกราน
4.การโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชาต่อพลเรือนและสถานที่สาธารณะ ถือเป็นการรุกรานอย่างชัดเจน ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวาในฉบับที่ 1 และ 4 รวมถึงตราสารระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนต่างๆ ซึ่งไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุด
5.ไทยปฏิเสธข้อกล่าวหาของกัมพูชาที่ไม่มีหลักฐานรองรับในทุกเวทีและทุกประเด็น อาทิ ข้อกล่าวหาว่ากองทัพไทยได้รุกรานและสร้างความเสียหายแก่ตัวปราสาทเขาพระวิหาร และข้อกล่าวหาว่ามีการคุกคามแรงงานกัมพูชาในไทย ซึ่งไทยได้ส่งหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงให้แก่องค์การระหว่างประเทศแล้ว
6.ไทยชื่นชมบทบาทของมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ที่อำนวยความสะดวกให้เกิดการประชุมสมัยพิเศษขึ้นซึ่งนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชา ไทยยังขอบคุณสหรัฐและจีนที่มีบทบาทสนับสนุนให้การหยุดยิงเกิดขึ้น แต่น่าผิดหวังที่กัมพูชายังละเมิดข้อตกลงหลายครั้งและหลายพื้นที่ จึงเรียกร้องให้กัมพูชาเคารพและปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด
7.ไทยมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ โดยไทยจะเข้าร่วมการประชุมจีบีซีระหว่างวันที่ 4 - 7 สิงหาคมนี้ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อให้เกิดการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัดและวางกลไกเพื่อปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว
8.นอกจากการประชุมจีบีซีแล้ว กลไกทวิภาคีต่อไปคือเจบีซี ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเจบีซีในเดือนกันยายนนี้ โดยหวังว่ากัมพูชาจะเข้าร่วมอย่างจริงใจเพื่อหาทางออกในประเด็นเขตแดนที่ยังค้างคาอยู่
9.ไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชาหยุดการบิดเบือนข่าวสาร ซึ่งมีขึ้นแทบทุกวันจนเป็นเรื่องปกติ การกระทำเช่นนี้เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูการไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ทำให้ความขัดแย้งขยายตัวไปสู่ประชาชนทั้งสองประเทศ เป็นการบั่นทอนความพยายามที่จะทำให้ความสัมพันธ์กับสู่สภาวะปกติ
นายนิกรเดช ย้ำว่าการนำเสนอข้อมูลของฝ่ายไทยเราเน้นข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ เน้นหลักฐานเชิงประจักษ์ เน้นข้อมูลที่พิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ เราเชื่อว่าการเจรจาจะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน เราเชื่อว่าเราต้องใช้ความจริงบนพื้นฐานของความสุจริตใจ เพราะการปล่อยข่าวปลอมไม่ช่วยในกรณีเหล่านี้