ชายแดนเดือด! ทบ.ยันใช้กระสุนคลัสเตอร์เฉพาะเป้าหมายทหาร หลังถูกกัมพูชารุกรานหนัก
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีกัมพูชากล่าวหาฝ่ายไทยมีการใช้กระสุนปืนใหญ่แบบกระสุนคลัสเตอร์นั้น กองทัพบกขอเรียนว่า การใช้กระสุนชนิดนี้ กองทัพบกจะพิจารณาใช้ตามความจำเป็นต่อเป้าหมายทางทหาร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำลายเป้าหมาย โดยเมื่อกระสุนหลักกระทบเป้าหมายแล้ว กระสุนย่อยที่บรรจุอยู่ภายในจะระเบิดต่อเนื่อง ซึ่งกระสุนดังกล่าว ไม่ใช่ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (anti-personnel landmines) และ ไม่มีผลตกค้างในระยะยาวต่อพลเรือนหลังการใช้งาน
พล.ต.วินธัย กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้กระสุนคลัสเตอร์ (Convention on Cluster Munitions – CCM) ซึ่งห้ามภาคีใช้งาน ผลิต หรือสะสมอาวุธชนิดนี้นั้น ไม่มีผลผูกพันต่อประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยมิได้เป็นภาคีของอนุสัญญาฉบับดังกล่าว เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา รัสเซีย เป็นต้น
ทั้งนี้ กองทัพบกยืนยันว่า การปฏิบัติทางทหารของฝ่ายไทยเป็นไปตามหลัก “ความได้สัดส่วน” โดยจะมีการใช้กระสุนแบบคลัสเตอร์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการระเบิดทำลายเฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น
พร้อมกันนี้เพจกองบัญชาการกองทัพไทย Royal Thai Armed Forces Headquarters ได้รายงานว่า บันทึกเหตุการณ์การปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา วันที่ 25 กรกฎาคม 2568
ตามรายงานจากศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) ได้เกิดเหตุปะทะอย่างต่อเนื่องตลอดแนวชายแดนในหลายจุดสำคัญ โดยฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เปิดฉากโจมตีก่อนด้วยอาวุธหนักหลายประเภท ส่งผลให้สถานการณ์ในพื้นที่มีความตึงเครียดอย่างมาก
สรุปสถานการณ์ในพื้นที่สำคัญ มีดังนี้:
- เวลา 08.30 น. บริเวณ ช่องบก เกิดการยิงตอบโต้ระหว่างปืนใหญ่ของไทยกับ BM21 จากฝ่ายกัมพูชา
- ช่องอานม้า กัมพูชาใช้กำลังโจมตีและทำลายอนุสาวรีย์คนขี่ม้ารวมถึงอาคารโดยรอบ
- พื้นที่ชาแต กองกำลังไทยตอบโต้ด้วยทหารราบและรถถังเพื่อยึดพื้นที่กลับคืน
- ช่องตาเฒ่า ฝ่ายกัมพูชาใช้รถถังจำนวน 15 คันเป็นฐานยิงโจมตี
- เขาพระวิหาร กองกำลังไทยตรึงกำลังอย่างเข้มแข็ง
- ภูมะเขือ เกิดการเข้าตีและยิงโต้ตอบอย่างต่อเนื่อง
- ช่องจอม มีการสู้รบสลับกันไปมา
- ปราสาทตาควาย กัมพูชาเสริมกำลังพลจำนวนมากเข้าสู่พื้นที่
- ปราสาทตาเมือนธม ฝ่ายไทยวางกำลังป้องกันแน่นหนา ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามเข้าตีหลายระลอก
สรุปสถานการณ์ผู้ได้รับผลกระทบจากการปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 เวลา 14.00 น.
ยอดเพิ่มเติมเฉพาะวันที่ 25 กรกฎาคม 2568
1.พลเรือน
บาดเจ็บสาหัส: เพิ่ม 3 ราย
บาดเจ็บเล็กน้อย: เพิ่ม 1 ราย
บาดเจ็บปานกลาง: ลดลง 3 ราย (กลับบ้านได้)
2. ทหาร
เสียชีวิต: เพิ่ม 3 นาย
บาดเจ็บสาหัส: เพิ่ม 1 นาย
ยอดสะสมรวมตั้งแต่เกิดเหตุการณ์จนถึงปัจจุบัน
1.พลเรือน
เสียชีวิต: 13 ราย
บาดเจ็บสาหัส: 10 ราย
บาดเจ็บปานกลาง: 10 ราย
บาดเจ็บเล็กน้อย: 13 ราย
รวมทั้งสิ้น: 46 ราย
2. ทหาร
เสียชีวิต: 4 นาย
บาดเจ็บสาหัส: 7 นาย
บาดเจ็บปานกลาง: 5 นาย
บาดเจ็บเล็กน้อย: 3 นาย
รวมทั้งสิ้น: 19 นาย
กองทัพไทยขอแสดงความไว้อาลัยและสดุดีวีรกรรมของทหารกล้าผู้เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน และอธิปไตยของชาติอย่างหาญกล้า
ทั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชาได้กระทำการที่เข้าข่าย อาชญากรรมสงคราม (War Crimes) อย่างชัดเจน ได้แก่
- การจงใจโจมตีพลเรือนและสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มีสถานะทางทหาร
- การทำลายสถานที่สาธารณะ เช่น โรงเรียน อนุสาวรีย์
- การใช้อาวุธหนักแบบไม่เลือกเป้าหมาย
- การตั้งฐานยิงในพื้นที่ชุมชนและใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์
การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดกฎหมายและธรรมเนียมของสงครามอย่างร้ายแรง และประเทศไทยขอเรียกร้องให้ประชาคมโลกตระหนักถึงการกระทำของ ฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา ซึ่งต้องรับผิดชอบในฐานะอาชญากรสงคราม ที่สั่งการและสนับสนุนการรุกรานอย่างไม่ชอบธรรม