ไทยชี้แจงสถานการณ์ชายแดนต่อยูเอ็นเอสซี
นิวยอร์ก, 26 ก.ค. – คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นเอสซี (UNSC) เปิดประชุมส่วนตัวเมื่อวานนี้ ที่สำนักงานใหญ่ในนครนิวยอร์ค ภายใต้หัวข้อวาระ “ภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ” นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรของประเทศไทยประจำสหประชาชาติ ได้แถลงชี้แจงสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างละเอียด โดยเน้นย้ำถึงการกระทำที่ยั่วยุของกัมพูชา และความจำเป็นที่ไทยต้องป้องกันตนเองตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
นายเชิดชาย เริ่มต้นด้วยการแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ต้องมากล่าวต่อที่ประชุมภายใต้สถานการณ์ที่ร้ายแรงที่สุด โดยระบุว่า การรุกรานที่ไม่ได้เกิดจากการยั่วยุ จากฝ่ายกัมพูชานั้น คุกคามอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และที่สำคัญที่สุดคือชีวิตพลเรือนผู้บริสุทธิ์ของประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มุ่งมั่นในสันติภาพ
เอกอัครราชทูตไทยเน้นย้ำว่า ประเทศไทยถือว่ากัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดและเป็นสมาชิกในครอบครัวอาเซียนเสมอมา ไทยได้ให้การสนับสนุนกระบวนการสันติภาพ การสร้างชาติ และการพัฒนาของกัมพูชามาโดยตลอดนับตั้งแต่การได้รับเอกราชในปี 2496 แต่ก็ยอมรับว่าในฐานะเพื่อนบ้านย่อมมีความท้าทายและความไม่เห็นด้วย ซึ่งควรแก้ไขด้วยการเจรจา ไม่ใช่ความรุนแรง
นายเชิดชาย กล่าวถึงเหตุการณ์ปะทะเล็กน้อยเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม โดยระบุว่ากองกำลังไทยกำลังลาดตระเวนตามปกติในเขตแดนไทย และถูกบังคับให้ต้องป้องกันตนเองจากการยิงที่ไม่ได้มาจากการยั่วยุ จากฝ่ายกัมพูชา ซึ่งไทยเชื่อว่าการแก้ไขปัญหาผ่านช่องทางทวิภาคีเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด และได้มีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ที่กรุงพนมเปญแล้ว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ได้บานปลายขึ้นเมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ทหารของกองทัพไทยเหยียบทุ่นระเบิดในขณะที่ลาดตระเวนตามปกติในเขตแดนไทย ทำให้ทหาร 2 นายได้รับบาดเจ็บสาหัสจนถึงขั้นพิการถาวร และที่เหลือบาดเจ็บสาหัส นายเชิดชาย ชี้ว่ามีหลักฐานยืนยันว่า ทุ่นระเบิดดังกล่าวถูกฝังใหม่ในพื้นที่ที่เคยถูกเก็บกู้ไปแล้ว ซึ่งไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั้งหมดตั้งแต่ปี 2562 ในทางตรงกันข้าม กัมพูชายังคงครอบครองทุ่นระเบิดชนิดนี้ตามรายงานประจำปีของตนเอง ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา อย่างชัดเจน
สิ่งที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นคือเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม เวลา 08.20 น. กองกำลังกัมพูชาได้ใช้อาวุธหนักยิงเข้าใส่ฐานปฏิบัติการทางทหารของไทยในพื้นที่ตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ และหลังจากนั้นไม่นาน ได้มีการโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าหมายในเขตแดนไทยข้าม 4 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี การรุกรานโดยใช้อาวุธอย่างไม่เลือกเป้าหมายนี้ได้ก่อให้เกิดความเสียหายและความทุกข์ยากอย่างร้ายแรงต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์ มีเด็กเสียชีวิต 4 คน บาดเจ็บสาหัส 4 คน โครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน เช่น โรงพยาบาลและโรงเรียน ก็ได้รับความเสียหายอย่างมาก
ในวันที่ 25 กรกฎาคม เวลา 09.00 น. การโจมตีดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 14 ราย และบาดเจ็บ 46 ราย โดย 13 รายอยู่ในขั้นวิกฤต นายเชิดชาย แสดงภาพผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตที่เป็นพลเรือน และเน้นย้ำว่า โรงพยาบาล สถานีบริการน้ำมัน และบ้านเรือนของพลเรือนถูกโจมตี ครอบครัวหนึ่ง 4 คน ที่ไปซื้อของที่ร้านขายของชำ แม่และลูกสามคนต้องเสียชีวิต พลเมืองกว่า 130,000 คนต้องอพยพออกจากบ้านเรือน
ไทยประณามการโจมตีพลเรือน โครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน และสาธารณูปโภค โดยเฉพาะโรงพยาบาล ซึ่งเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวาปี 2492 อย่างรุนแรง
นายเชิดชายชี้ว่า การรุกรานและการโจมตีด้วยอาวุธอย่างต่อเนื่องโดยกองกำลังกัมพูชานี้ ถือเป็นการละเมิดมาตรา 2 วรรค 4 ของกฎบัตรสหประชาชาติอย่างร้ายแรง ซึ่งห้ามการใช้กำลังต่อบูรณภาพแห่งดินแดนของรัฐต่างๆ รวมถึงหลักการความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และความเป็นปึกแผ่นของอาเซียน
แม้จะใช้ความอดกลั้นอย่างถึงที่สุด ประเทศไทยก็ถูกบีบบังคับให้ต้องดำเนินการป้องกันตนเองภายใต้มาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ โดยย้ำว่า การตอบโต้ของไทยมีขอบเขตจำกัดอย่างเคร่งครัด ได้สัดส่วน และมุ่งเป้าหมายเพียงเพื่อหยุดยั้งภัยคุกคามที่กำลังจะเกิดขึ้นจากกองกำลังกัมพูชาเท่านั้น ทุกมาตรการมุ่งเป้าไปที่เป้าหมายทางทหารที่ชอบด้วยกฎหมาย โดยพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายต่อพลเรือน
สำหรับข้อกล่าวหาเรื่องความเสียหายต่อพื้นที่โดยรอบและโครงสร้างของปราสาทพระวิหาร นายเชิดชาบยย้ำว่าไทยได้ใช้หลักการจำแนกสัดส่วน ความระมัดระวัง และความจำเป็นทางทหารอย่างเคร่งครัด การตอบโต้ทั้งหมดจำกัดอยู่แค่เป้าหมายทางทหารที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ไม่มีการยิงต่อสู้ไปมาระหว่างกองทัพไทยและกัมพูชาใกล้กับปราสาทพระวิหารเลย โดยจุดโจมตีที่ใกล้ที่สุดอยู่ใกล้กับภูมะเชือ ที่ห่างจากปราสาทพระวิหารประมาณ 2 กิโลเมตร และปราสาทเองอยู่นอกเส้นทางการปฏิบัติการทางทหารของไทยโดยสิ้นเชิง ดังนั้นข้อกล่าวหาของกัมพูชาจึงไร้มูลความจริงและเป็นการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน ไทยเรียกร้องให้กัมพูชางดเว้นจากการเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือที่ทำให้เข้าใจผิดซึ่งเป็นการนำมรดกทางวัฒนธรรมไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง
ส่วนเรื่องระเบิดลูกปรายหรือคลัสเตอร์บอมบ์ ประเทศไทยยืนยันว่าการกระทำทางทหารของไทยเป็นไปตาม หลักการแบ่งแยกพลรบกับพลเรือน หลักความได้สัดส่วน และหลักความจำเป็นทางทหาร โดยระเบิดลูกปรายถูกใช้เพื่อเป้าหมายทางทหารเท่านั้น
นายเชิดชาย กล่าวปิดท้ายด้วยการเรียกร้องให้กัมพูชา ยุติการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์และการรุกรานทั้งหมดทันที และกลับสู่การเจรจาด้วยความสุจริต.-813.-สำนักข่าวไทย