กระทู้ถามสดเยียวยาชายแดนพาเหรดโยนบาปผู้ว่าฯ อุบลราชธานี
'ไอติม' จี้ถามมาตรการเยียวยาผู้อพยพเขตปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา เหน็บถ้าการเบิกจ่ายของผู้ว่าอุบลฯ ไม่แดง รมต.จะทราบเรื่องหรือไม่ 'รมช.อิ่ม' ตอกกลับ รู้ปัญหา แต่มีคนเห็นเลขน้อยเลยยกมาโจมตีรัฐบาล
07 ส.ค.2568 - ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม วาระพิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา ของนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) เรื่องการเยียวยาผู้อพยพพื้นที่ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ถามนายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งนายภูมิธรรม มอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นมาตอบกระทู้แทน
โดยนายพริษฐ์ กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้สูญเสียทุกคนจากกรณีดังกล่าว และขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนและทหารแนวหน้าในการคุ้มครองความปลอดภัยให้ประชาชน โดยสัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลได้อนุมัติกรอบเงินเยียวยาให้เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนที่สูญเสียชีวิตและบาดเจ็บรายละ 4 แสนถึง 10 ล้านบาท แต่ยังมีประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบแต่อาจจะไม่ถึงแก่ชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ โดยอยากสอบถามถึงแนวทางการคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนในช่วงเวลาที่มีการอพยพว่า การแจ้งเตือนให้ประชาชนอพยพ เพราะเรื่องความปลอดภัยเป็นเรื่องที่เราชะล่าใจไม่ได้ และประชาชนมีความจำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวอย่างแม่นยำและรวดเร็ว ทั้งนี้ เป็นที่น่าเสียดายเรื่องการแจ้งเตือนผ่านเซลล์บรอดคาสต์ที่จะแจ้งเตือนไปยังโทรศัพท์มือถือของประชาชนโดยตรง ซึ่งทราบมาว่ามีการแจ้งเตือนไปแค่ 1 ครั้ง ใน 3 จังหวัดเมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมาเท่านั้น ดังนั้น เราจะใช้ประโยชน์จากการใช้ระบบแจ้งเตือนเซลล์บรอดคาสต์อย่างไร ทั้งนี้ จากที่ทราบมานั้นไม่ใช่เป็นเพราะระบบที่ไม่พร้อม แต่เป็นการดึงข้อมูลจากต้นทางไม่ว่าจะเป็นกองทัพ หน่วยงานความมั่นคงที่ต้องนำข้อมูลมากลั่นกรองแล้วสื่อสารไปยังประชาชน
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า อยากสอบถามว่า จะมีการจัดทำเอสโอพีหรือมาตรฐานการปฏิบัติงานเพิ่มข้อมูลจากต้นทางแล้วนำมาใช้ในระบบเเซลล์บรอดคาสต์เมื่อไหร่ และในระหว่างที่ไม่มีเอสโอพี จะแก้ปัญหานี้อย่างไรเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากเซลล์บรอดคาสต์ได้ นอกจากนี้ เรื่องการดูแลผู้อพยพนั้นทำให้เราทราบว่างบประมาณที่มาดูแลศูนย์อพยพใน 5 วันแรกล้วนมาจากเงินบริจาคของประชาชนและเงินของท้องถิ่นทั้งหมด และแม้ว่าส่วนกลางได้อนุมัติวงเงินในการเยียวยาประชาชนในจังหวัดที่ต้องมีการอพยพไปแล้วจังหวัดละ 100 ล้านบาท เช่น จ.สุรินทร์และศรีษะเกษมีการเบิกจ่ายไปแล้ว จังหวัดละ 47 และ 55 ล้านบาทตามลำดับ ขณะที่จ.อุบลราชธานี เบิกจ่ายไปเพียง 5.5 หมื่นบาทเท่านั้น
นายพริษฐ์ กล่าวด้วยว่า แน่นอนว่าทำให้เกิดคำถามต่อมาหากเราไม่สามารถเชื่อคำพูดของผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีที่ น.ส.ธีรรัตน์เคยโฟนอินเข้ามาในสภาแห่งนี้ และผู้ว่าฯ อุบลราชธานียืนยันว่าไม่มีปัญหาในเรื่องของการเบิกจ่าย ต่อไปนี้เราจะเชื่อคำพูดอะไรของรัฐบาลได้อีก ฉะนั้น จึงอยากทราบสาเหตุที่เบิกจ่ายช้าเช่นนี้ว่าเกิดขึ้นจากอะไร และความไม่มีประสิทธิภาพในการเบิกจ่ายทำให้เกิดความเสียหายอะไรใน จ.อุบลราชธานีบ้าง มากแค่ไหน แม้ว่าท่านจะย้ายผู้ว่าฯ อุบลราชธานีไปแล้ว แต่ในฐานะส่วนกลางท่านจะรับผิดชอบอย่างไรกับความผิดพลาดตรงนี้ และการบริหารจัดการงบประมาณในพื้นที่ขณะนี้มีงบประมาณ 3 ส่วนคือเงินทดลองราชการ ซึ่งเป็นเงินที่ส่วนกลางอนุมัติ เงินท้องถิ่น และเงินบริจาค จึงอยากสอบถามว่านโยบายของรัฐบาลจัดเรียงลำดับความสำคัญในการใช้งบประมาณทั้ง 3 ก้อนนี้อย่างไร จะทำให้เกิดความโปร่งใสอย่างไร
“ส่วนเรื่องอุบลราชธานีนั้น ยืนยันว่าไม่มีอคติหรือเกมการเมือง ทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง ซึ่งผมและ น.ส.ธีรรัตน์เห็นตรงกันว่าเรื่องผู้ว่าฯ อุบลราชธานีนั้นมีปัญหาจริงๆ คำถามคือหากการเบิกจ่ายไม่ได้ค้นพบผ่านคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การปกครอง สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 6 ส.ค. ที่ผ่านมานั้น รัฐมนตรีจะทราบถึงปัญหานี้หรือไม่ นอกจากนี้ ยังอยากสอบถามถึงการเยียวยาประชาชนที่ต้องอพยพ เพราะรายจ่ายของเขาไม่ได้หยุดอยู่นิ่งๆ ในขณะที่รายรับของเขาหายไป ฉะนั้น จึงอยากเห็นรัฐบาลมีมาตรการที่ชัดเจนในการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่รวมถึงผู้ประกอบการ” นายพริษฐ์ กล่าว
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า มีข้อเสนอดังนี้ 1.รัฐบาลต้องเร่งลดรายจ่ายให้ผู้ประกอบการผ่านกลไกประกันสังคม รวมถึงนำกลไกและฐานข้อมูลของประกันสังคมมาใช้ชดเชยผู้ประกอบการที่จ่ายค่าจ้างให้พนักงาน แม้ว่าพนักงานจะไม่สามารถมาปฏิบัติหน้าที่ได้ในเวลานี้ 2.รัฐบาลควรเร่งชดเชยรายได้ของผู้ประกอบการที่หายไป และหาเจ้าภาพมาหารือรายเอียดทุกอุตสาหกรรมเพื่อออกแบบมาตการการช่วยเหลือที่เพียงพอและเป็นธรรมโดยเร็ว 3.รัฐบาลควรเตรียมชดเชยแรงงานที่ย้ายออกจากพื้นที่เช่นกัน และ 4.รัฐบาลควรมีแนวทางที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจหรือกระตุ้นการใช้จ่ายในพื้นที่หลังเหตุการณ์สงบสุขแล้ว เช่น โครงการเที่ยวคนละครึ่งใน 7 จังหวัดชายแดน โครงการลดหย่อนภาษีให้คนที่มาจัดประชุมหรือมาจัดท่องเที่ยวแบบกลุ่ใน 7 จังหวัดชายแดน รัฐบาลมีแนวคิดเรื่องนี้อยู่หรือไม่ เราจะเห็นความชัดเจนเรื่องนี้ได้เมื่อไหร่ และสุดท้ายนี้ อยากฝากรัฐบาลถึงการเยียวยาสุขภาพจิตของประชาชนในพื้นที่ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่เรามองข้ามไม่ได้ และยังอยากให้รัฐมนตรีตอบคำถามเรื่องเอสโอพีของระบบเซลล์ บรอดคาสต์จะเสร็จเมื่อไหร่
ด้านน.ส.ธีรรัตน์ ชี้แจงว่า เรื่องการส่งข้อความผ่านทางเซลล์บรอดคาสต์ไปทันทีเมื่อวันที่ 24 ก.ค. รวมทั้งสิ้น 3 ครั้ง โดยแจ้งให้ประชาชนจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ ให้ได้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ในส่วนของเอสโอพีเราได้มีการเช็กข้อมูลในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสอบถามไปยังพื้นที่เมื่อได้รับความชัดเจนแล้ว เราจึงได้ปล่อยข้อความนั้นออกไปเพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชนโดยที่สุด ต้องยอมรับว่าในการสร้างมาตรฐานให้ทันต่อสถานการณ์และรองรับกับสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในอดีต เราต้องคาดการณ์สถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไปด้วย จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องร่วมกันทำงาน ซึ่งภารกิจที่เรามอบหมายให้กับทางพื้นที่ได้ดำเนินการ นอกเหนือจากเซลล์บรอดคาสต์ที่เป็นเครื่องมือใหม่ เรายังใช้ช่องทางแนวปฏิบัติเดิมเรื่องบุคลากร ในท้องถิ่นให้ลงไปในท้องที่ทันที
น.ส.ธีรรัตน์ ชี้แจงต่อว่า ในส่วนของการมีกรณี จ.อุบลราชธานี ตอนแรกไม่ได้คาดการณ์หรือคาดคิดไว้ว่าจะถามในประเด็นนี้ด้วย เพราะข้อเท็จจริงได้ปรากฏตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาแล้วว่าได้ลงไปในพื้นที่จ.อุบลราชธานี ตั้งแต่วันที่ 27 ก.ค. ได้ไปเยี่ยมเยียนศูนย์อพยพที่ประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ได้เห็นถึงการปฎิบัติงาน และมีการตั้งกระทู้ถามเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าเพื่อนสมาชิกได้กล่าวอ้างว่าในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ยังเบิกไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าผู้ว่าฯจะตอบว่าอย่างไร แต่การที่เราได้ถามโดยตรง หากติดขัดอะไรแล้วบอกเราให้รู้เลย เราก็จะแก้ไขได้ทันที แต่ก็อย่างที่ทราบว่ามีการตอบรับกลับมาว่าเบิกได้ทั้งหมด ซึ่งไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงได้กลับลงไปในพื้นที่ จ.อุบลราชธานีอีกครั้งในวันที่ 3 ส.ค. เพื่อไปดูผู้ที่ได้รับบาดเจ็บด้วย แต่เมื่อวันที่ 6 ส.ค. ที่ กมธ.การปกครอง ได้มีการจัดประชุมและรับรายงานจากตัวแทนของจังหวัดชายแดน และมีการนำเสนอตัวเลขเข้ามาว่าแต่ละจังหวัดจ่ายเท่าไหร่ แต่มีปัญหาที่จ.อุบลราชธานี จึงคิดว่ามีอะไรที่เป็นสิ่งผิดปกติที่จังหวัดนี้ และได้สอบถามไปทันทีที่ได้รับทราบ
น.ส.ธีรรัตน์ กล่าวว่า ได้รับทราบข้อมูลว่าทางจังหวัดมุ่งเน้นไปในเรื่องของการใช้เงินของท้องถิ่นก่อน รวมถึงสิ่งของและเงินที่ได้รับบริจาคมา ได้รับทราบตัวเลขมาว่าทางจ.อุบลราชธานีได้รับเงินบริจาคเป็นจำนวนเงิน 5.5 ล้านบาท และจังหวัดอื่นๆ ประมาณ 1-2 ล้านบาท ต้องนำเรียนว่าถือว่ามีความบกพร่อง เพราะเราได้จัดประชุมกันในเรื่องของการใช้จ่ายเงินทดลองราชการที่เพิ่มเติมเข้าไปแล้วว่าขอให้ใช้จ่ายเงินในส่วนนี้ทันที แม้ว่าในระเบียบนั้นจะบอกไว้ว่าให้ใช้เงินท้องถิ่นก่อนก็ตาม ซึ่งในระเบียบของการใช้เงินที่ได้กำหนดไว้ดั้งเดิมระบุไว้ว่า ถ้ามีเหตุที่จะต้องใช้เงินทดลองราชการ ให้ใช้เงินท้องถิ่นก่อน แต่เราได้ทำการประชุมและได้พูดถึงความจำเป็นในขณะนี้ว่าเร่งด่วน และมีประชาชนอพยพมาเป็นจำนวนมาก ฉะนั้น ให้ใช้เงิน 100 ล้านบาททันที บวกกับเงินทดลองราชการที่คงเหลือด้วย จังหวัดอื่นไม่มีปัญหาใช้จ่ายได้ตามปกติ และมีการเบิกจ่ายกันถูกต้องตามที่ได้รับทราบข้อมูล
น.ส.ธีรรัตน์ กล่าวต่อว่า ที่มีข่าวเมื่อเช้านี้นายภูมิธรรมได้มีการสั่งการให้ได้มีการเพิ่มเติมในส่วนของผู้ตรวจราชการให้ลงพื้นที่ไปในจังหวัดนี้ในการตรวจสอบศูนย์อพยพต่างๆ ทั้งนี้ ต้องแยกเป็น 2 ประเด็นว่าการเบิกจ่าย ไม่ใช่ว่าเบิกมาแล้ว แล้วเราไม่ให้ แต่ปัญหาคือตัวเลขที่ส่งเข้ามานั้นยังไม่มีการส่งเข้ามาในส่วนกลาง เพราะกรอบวงเงิน 100 ล้านบาท เราให้ไปตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค. ซึ่งเมื่อเรียงร้อยเรื่องราวต่างๆ ก็มีความชัดเจนว่ามีความผิดพลาดในส่วนของจังหวัด ไม่ใช่จากทางรัฐบาล ที่ส่งความช่วยเหลือลงไป อย่างไรก็ตาม เมื่อเราได้ข้อมูลที่ถูกต้องได้สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนที่มีต่อรัฐบาลในการที่จะสื่อสารข้อมูลจริง ไม่ใช้อคติหรือเกมการเมืองในภาวะนี้ เพราะเราทุกคนมีความตั้งใจเดียวกันคือดูแลพี่น้องประชาชนของเราให้ดีที่สุด
รมช.มหาดไทย กล่าวว่า ในกรอบของการช่วยเหลือดูแลสัตว์ ที่มีรายละเอียดมากมายสามารถหาข้อมูลได้จากเว็บไซต์ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย เพจเฟซบุ๊กของกระทรวงมหาดไทย ช่องทางประชาสัมพันธ์ได้ด้วย แต่หากเป็นเคสที่มีความสูญเสียหรือเสียหายมากกว่านี้ เราก็จะนำมาพิจารณาต่อไปตามกรอบที่กำหนดไว้ ส่วนข้อมูลที่จะมีปฏิบัติเอสโอพีจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราได้มีการดำเนินการแล้ว และในเรื่องข้อมูลการเบิกจ่ายได้ติดตามสอบถามไปตั้งแต่มี สว.ท่านหนึ่ง ออกมาบอกว่าเงินท้องถิ่นจะถังแตกแล้ว จึงได้สอบถามไปยังท้องถิ่นทันทีว่าจริงหรือไม่ ซึ่งข้อความนั้นเป็นเท็จ ไม่ใช่เรื่องจริง ท้องถิ่นไม่ได้ถังแตกแต่อย่างใด นั่นคือการกลั่นกรองข้อมูลก่อนที่เราจะนำมาเสนอต่อ ฉะนั้นจึงต้องเช็กทุกอย่างและรู้ก่อนที่กมธ.จะประชุม
“อาจจะมีคนอาศัยช่องนั้นว่าตัวเลขน้อยเลยหยิบจับไปเสนอข่าวก่อนโดยที่มาโจมตีรัฐบาล ไม่ได้ฟังข้อความว่าความเป็นจริงเกิดจากเหตุใด จึงต้องเรียนนายพริษฐ์ว่าดิฉันทราบดีในความเป็นห่วงของท่าน แต่การกลั่นกรองข้อมูลข่าวสารที่ได้ใช้ วิจารณญาณที่เหมาะสม จะเป็นประโยชน์กับประชาชนโดยส่วนรวม ในเรื่องที่ท่านให้ความห่วงใยกับเรื่องชดเชยเยียวยาทั้งผู้ประกอบการและพี่น้องแรงงาน ซึ่งทางรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ไปพูดคุยกับประชาชนเพื่อสำรวจความเสียหายด้วย และบางพื้นที่ทางฝ่ายความมั่นคงยังไม่อนุญาตให้เราได้เข้าไปสำรวจในเรื่องความเสียหายต่างๆ ซึ่งการให้ครบถ้วนต้องใช้เวลา แต่ดิฉันไม่ละเลยในเรื่องนี้แน่นอน” น.ส.ธีรรัตน์ กล่าว