โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

'กอบศักดิ์' ชี้ภาษีทรัมป์ไม่จบ! แนะไทยหั่นดอกเบี้ย-อัดมาตรการอุ้มSMEs

Amarin TV

เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา
'กอบศักดิ์' ชี้ภาษีทรัมป์ไม่จบ! แนะไทยหั่นดอกเบี้ย-อัดมาตรการอุ้ม SMEs ก่อนเศรษฐกิจดับ

การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้เพียงสะเทือนเวทีการเมืองสหรัฐฯ เท่านั้น หากแต่ยังส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก ด้วยการนำกลยุทธ์ “ภาษี” กลับมาเป็นอาวุธหลักในการต่อสู้เชิงยุทธศาสตร์ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ ภายใต้นโยบาย “America First” ที่เน้นการสร้างแต้มต่อให้ภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ ทรัมป์ใช้ภาษีนำเข้าเพื่อกดดันประเทศคู่ค้าให้เปิดตลาดให้สหรัฐฯ และชะลอการขยายตัวของจีนซึ่งกำลังผงาดขึ้นอย่างรวดเร็วในฐานะคู่แข่งโดยตรงของอเมริกา

ภาษีในแบบของทรัมป์ไม่ใช่แค่ตัวเลขหรืออัตราภาษี หากแต่เป็นสัญญาณของการจัดระเบียบโลกใหม่ การแบ่งชั้นประเทศต่าง ๆ ในระบบ “เทียร์” ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศให้ประโยชน์กับสหรัฐฯ มากน้อยเพียงใด บางประเทศได้ลดภาษี 19% บางประเทศ 20% ขึ้นอยู่กับระดับการเปิดตลาด ไทยซึ่งได้อัตรา 19% นั้น แม้จะดูเหมือนเป็นชัยชนะทางการทูต แต่ก็ต้องแลกกับการเปิดตลาดในบางสินค้า และยังไม่มีอะไรการันตีว่า “ดีล” ดังกล่าวจะยั่งยืนหรือไม่ เพราะในยุคของทรัมป์ ข้อตกลงการค้าอาจเปลี่ยนได้ทุกวันด้วยโพสต์เดียวบนโซเชียลมีเดีย

ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย และประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ได้นำเสนอภาพรวมอันซับซ้อนของปรากฏการณ์นี้ในการเสวนา “Trump’s Tariffs ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมชี้ให้เห็นถึงโอกาส ความเสี่ยง และแนวทางการรับมือของไทยในห้วงเวลาที่โลกกำลังปั่นป่วน

จุดเริ่มต้นของภาษี สหรัฐฯ กำลังเผชิญวิกฤตโครงสร้าง

ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย เปิดประเด็นด้วยการวิเคราะห์โครงสร้างเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันว่าได้เข้าสู่ภาวะ “ไม่ยั่งยืน” ทั้งในด้านดุลการค้าและดุลการคลังอย่างชัดเจน โดยขณะนี้สหรัฐฯ มีตัวเลขขาดดุลการค้าอยู่ที่ราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และมีการขาดดุลงบประมาณสูงถึง 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี นำไปสู่ภาระหนี้สาธารณะที่พุ่งทะยานขึ้นแตะระดับ 36 ล้านล้านดอลลาร์ ส่งผลให้รัฐบาลกลางต้องพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศมากกว่าที่เคยเป็นมา

สถานะของสหรัฐฯ ในเวลานี้จึงไม่ต่างจาก “ประเทศบริโภค” ที่ผลิตได้น้อย แต่นำเข้าและใช้จ่ายเกินตัวเป็นประจำทุกปี กระบวนการนี้ได้สะสมภาระหนี้ต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงแต่จะบั่นทอนเสถียรภาพของระบบการเงินภายใน แต่ยังสะท้อนว่าระบบเศรษฐกิจแบบเดิมของสหรัฐฯ กำลังถึงจุดเปราะบาง และหากไม่มีมาตรการจัดการเชิงโครงสร้างอย่างเร่งด่วน ก็อาจนำไปสู่ภาวะวิกฤตเมื่อถึงวันที่ต้องเริ่มชำระหนี้จำนวนมหาศาลกลับคืน

ท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอเช่นนี้ สหรัฐฯ ยังต้องเผชิญแรงกดดันจากภายนอกที่ทรงพลังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นั่นคือ “จีน” ซึ่งในสายตาของวอชิงตัน ถือเป็นประเทศเดียวที่สามารถท้าทายอำนาจนำของสหรัฐฯ ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยตลอดระยะเวลาเพียง 20-30 ปีที่ผ่านมา จีนได้พลิกโฉมจากประเทศโลกที่สามให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจระดับโลกอย่างสมบูรณ์

วันนี้ จีนคือผู้ผลิตอันดับหนึ่งของโลก ฐานการส่งออกของประเทศมีขนาดใหญ่กว่าสหรัฐฯ ถึงสองเท่า ขณะเดียวกัน จีนยังครองความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม e-Commerce และการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงจำนวนมาก จากการประเมินโดยออสเตรเลียในกลุ่มอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ 44 สาขาสำคัญของโลก พบว่าจีนเป็นผู้นำใน 37 สาขา ส่วนสหรัฐฯ เหลือเพียง 7 ซึ่งหลายฝ่ายก็มองว่าอีกไม่นานจีนอาจตีตื้นจนเหลือศูนย์

ในด้านการศึกษาและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยของจีนหลายแห่งเริ่มไต่ระดับขึ้นมาทาบรัศมี Ivy League ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในด้านการวิจัยขั้นสูง ส่วนในเชิงกายภาพ เมืองต่างๆ ของจีนได้เปลี่ยนโฉมหน้าจากพื้นที่ว่างเปล่าหรืออุตสาหกรรมเบาในทศวรรษ 1980 กลายเป็นมหานครแห่งเทคโนโลยีในเวลาเพียงไม่กี่สิบปี ทั้งเซินเจิ้น ปูตง เซี่ยงไฮ้ เทียนจิน ฉงชิ่ง เฉิงตู กวางโจว และปักกิ่ง ต่างขยายตัวด้วยความเร็วระดับที่สหรัฐฯ เองยังตามไม่ทัน

ท่ามกลางแรงกดดันนี้ การออกมาตรการภาษีของทรัมป์จึงไม่ใช่เรื่อง “ภาษี” แบบเดิมอีกต่อไป แต่คือกลไกในการ "หยุดยั้ง" จีนในทุกรูปแบบที่สามารถทำได้ สหรัฐฯ ต้องการจัดระเบียบการเข้าถึงตลาดของตนใหม่ทั้งหมด โดยยกให้ตลาดอเมริกันเป็นเวทีการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระดับโลก การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในระดับ 54% สำหรับสินค้าขนาดเล็ก และ 30% สำหรับสินค้าขนาดใหญ่ จึงเป็นมาตรการที่มีนัยยะทางภูมิรัฐศาสตร์ชัดเจน

ทรัมป์กับการจัดระเบียบใหม่ของโลกผ่านกำแพงภาษี ไทยได้ 19% แต่ไม่มีอะไรแน่นอน

ดร. กอบศักดิ์มองว่า ภายใต้บริบทนี้ นโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์มิได้เป็นเพียงเครื่องมือปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ หากแต่เป็นกลไกสำคัญที่เขาใช้จัดระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่โดยมีตลาดสหรัฐฯ เป็นศูนย์กลาง โดยทรัมป์เชื่อว่าสหรัฐฯ คือ “ตลาดที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในโลก” เป็นจุดหมายปลายทางที่ทุกประเทศต้องการเข้าถึง และด้วยเหตุนี้ เขาจึงออกแบบระบบการค้าระหว่างประเทศใหม่ โดยจัดประเทศต่าง ๆ ออกเป็นลำดับขั้นหรือ “เทียร์” ตามระดับความร่วมมือและผลประโยชน์ที่แต่ละประเทศยินดีมอบให้สหรัฐฯ

ประเทศที่ “ให้” มาก ยอมเปิดตลาดสินค้าให้สหรัฐฯ อย่างเต็มที่ และไม่ตั้งกำแพงภาษีกับสินค้านำเข้าจากอเมริกา จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า ขณะที่ประเทศที่ยังคงใช้มาตรการปกป้องตลาดของตนเอง จะถูก “ลงโทษ” ด้วยอัตราภาษีที่สูงขึ้น ภายใต้ระบบใหม่นี้ ประเทศไทยนับเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ได้รับการจัดอยู่ในกลุ่มที่ “ได้คะแนนดี” จากทรัมป์ โดยได้สิทธิภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ระดับ 19% ซึ่งดีกว่าเวียดนามที่ได้ 20% แม้ว่าเวียดนามจะเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ มากกว่าก็ตาม

ความไม่สมดุลนี้ทำให้เกิดคำถามเชิงยุทธศาสตร์ว่าเหตุใดไทยจึงได้เปรียบกว่า ทั้งที่ “ให้” น้อยกว่า ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล อธิบายว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการที่ไทยอยู่ใน “พอร์ตโฟลิโอ” ของทรัมป์ ร่วมกับประเทศอย่างกัมพูชา มาเลเซีย และปากีสถาน ซึ่งเป็นประเทศที่ทรัมป์ให้ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์เป็นพิเศษ และมีเป้าหมายในการใช้เป็นตัวอย่างความสำเร็จของนโยบายการเจรจา เพื่อสร้างเครดิตทางการเมือง โดยเฉพาะความทะเยอทะยานส่วนตัวของทรัมป์ที่จะคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพให้ได้เช่นเดียวกับบารัค โอบามา

ในมุมนี้ ทีมเจรจาของไทยมีบทบาทสำคัญในการรักษาความต่อเนื่องของการพูดคุยกับสหรัฐฯ และเสนอผลประโยชน์ในหลายด้านให้ทรัมป์ใช้แสดง “ชัยชนะทางการเมือง” ของเขา ซึ่งส่งผลให้ไทยสามารถ “ถูกดันขึ้นมา” มาอยู่ในกลุ่มที่ได้ภาษี 19% แม้จะไม่ได้เปิดตลาดให้สหรัฐฯ มากที่สุดก็ตาม แต่ถึงกระนั้น ดร. กอบศักดิ์เตือนอย่างหนักแน่นว่า อย่าเพิ่งตายใจ เพราะในยุคทรัมป์ “ไม่มีอะไรแน่นอน”

แม้สิทธิ 19% จะดูเหมือนความสำเร็จระยะสั้น แต่ทั้งหมดนี้ยังเป็นเพียง “ยกแรก” ของเกมที่ยังไม่จบ ยังมีประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา เช่น ปัญหา “transshipment” หรือการลักลอบเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า นอกจากนี้ยังมีการเตรียมออกมาตรการควบคุม “กฎถิ่นกำเนิดสินค้า” (Rule of Origin) ในระดับประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การตรวจสอบสินค้าไทยที่เข้มข้นมากขึ้นในอนาคต

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีแนวโน้มว่าสหรัฐฯ จะขยายมาตรการภาษีไปยังระดับ “กลุ่มประเทศ” เช่น BRICS ที่อาจถูกเก็บภาษีเฉลี่ยที่ 10% ขณะที่ไทยที่ยังไม่เข้าร่วมเต็มตัวก็อาจถูกพิจารณาเรียกเก็บเพิ่มที่ระดับ 5% หากมีเหตุผลเฉพาะ เช่น การริเริ่มระบบการเงินทางเลือกที่ไม่ใช้ดอลลาร์ (new payment alternatives to dollar) ที่สหรัฐฯ อาจมองว่าเป็นภัยต่อระบบการเงินโลกของตนเอง นอกจากนี้ยังมีระดับ “อุตสาหกรรม” เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม ยานยนต์ ที่อาจถูกขึ้นภาษีในอนาคต และสุดท้ายคือมาตรการระดับ “โรงงาน” ที่มุ่งควบคุมต้นทางการผลิตอย่างละเอียด

พายุลูกที่สอง ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเริ่มมาแล้ว

สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้สะท้อนชัดเจนว่า การเผชิญหน้าทางเศรษฐกิจในยุคทรัมป์ไม่ได้มีเพียงมิติเดียว แต่แผ่ขยายไปสู่ภูมิรัฐศาสตร์ การจัดตั้งพันธมิตร และแม้กระทั่งมิติทางการทหาร ความผิดพลาดในอดีตของหลายประเทศคือการประเมินสถานการณ์เพียงในเชิงเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้มองในมิติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การวางแผนของไทยจึงจำเป็นต้องรอบด้าน เพื่อรับมือกับภาษีของทรัมป์

และที่น่ากังวลยิ่งกว่า คือผลกระทบที่เกิดขึ้นจากมาตรการภาษีไม่ได้จำกัดแค่ในมิติเศรษฐกิจเท่านั้น หากแต่เป็น “พายุหลายลูก” ที่กระหน่ำเข้ามาในรูปแบบของความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระบบโลก เหมือนสึนามิที่ไม่ได้มาครั้งเดียว แต่มาเป็นระลอก และกำลังจะเข้าสู่ “คลื่นลูกที่สอง” ที่มีผลชัดเจนต่อเศรษฐกิจไทย

หนึ่งในผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดจากนโยบายภาษีของทรัมป์ คือการที่การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ ติดลบถึง 34% จนทำให้จีนต้องเร่งระบายสินค้าส่วนเกินออกสู่ตลาดใหม่ ซึ่งไทยคือหนึ่งในเป้าหมายหลัก ตัวเลขนำเข้าสินค้าจากจีนมายังไทยเพิ่มขึ้นถึง 28% ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน

นี่คือคลื่นลูกที่สองที่กำลังถาโถมเข้าสู่ “ภาคเศรษฐกิจจริง” ของไทย ทั้งภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และกลุ่ม SMEs ที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากสินค้าจีนราคาถูก ผลิตในปริมาณมาก และต้นทุนต่ำ ดร. กอบศักดิ์ เตือนว่า “SMEs ตายแน่” หากไม่มีมาตรการป้องกัน เพราะแม้แต่บริษัทขนาดใหญ่ยังตั้งตัวไม่ทัน

ปัญหาซ้อนปัญหาคือ เศรษฐกิจภายในประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ กำลังซื้อของผู้บริโภคยังเปราะบาง ขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมือง ความล่าช้าในการผ่านงบประมาณ และบทบาทของภาคราชการที่ไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายเชิงรุกได้เต็มที่ ดร. กอบศักดิ์ ประเมินว่า หากไม่มีมาตรการกระตุ้นอย่างเร่งด่วน จีดีพีของไทยในปีนี้อาจโตได้เพียง 1.5–2% เท่านั้น

มาตรการเร่งด่วน ซื้อประกันเศรษฐกิจก่อนเครื่องดับ

ดร. กอบศักดิ์ชี้ว่า ทางออกระยะสั้นที่สำคัญที่สุดคือการ “ลดดอกเบี้ย” เพื่อสร้างแรงส่งให้เศรษฐกิจ ไม่ใช่เพียงเพื่อกระตุ้นการลงทุน แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจดับลงจนต้องใช้กำลังมหาศาลในการฟื้นฟู ดร. กอบศักดิ์ เสนอให้ลดดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้งภายในปีนี้ เพราะในภาวะที่เงินเฟ้อไม่ใช่ปัญหา การกระตุ้นเศรษฐกิจมีความจำเป็นมากกว่า

พร้อมกันนี้เสนอให้รัฐบาลใช้มาตรการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในลักษณะ Buy Thai, Support SMEs โดยจัดสรรสัดส่วนให้สินค้าและบริการจาก SMEs ไทยอย่างน้อย 50% พร้อมสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านกลไกของบสย. ซึ่งจะช่วยยืดระยะหายใจให้ผู้ประกอบการ และรักษาฐานการจ้างงานในประเทศ

ในมุมของโครงสร้างเศรษฐกิจ ดร. กอบศักดิ์ เสนอให้ใช้โอกาสนี้ในการเร่งดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่กำลัง “ย้ายฐาน” ออกจากจีน เช่น เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ Data Center EV และ Biotech โดยยกตัวอย่างว่าอุตสาหกรรมเหล่านี้เริ่ม “fill up” ในไทยแล้ว และหากใช้จังหวะนี้ได้ดี ไทยอาจกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค

ข้อมูลจาก BOI ยืนยันว่า อุตสาหกรรมเหล่านี้เริ่มเข้ามาจริง ไม่ใช่แค่ในรูปคำพูดเหมือนอดีต และหากไทยสามารถรักษาอัตราภาษี 19% ไว้ได้ในระยะยาว ไทยอาจกลายเป็นฐานการผลิตใหม่ระดับภูมิภาค แทนที่จีน อินเดีย หรือแม้แต่เวียดนาม

อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขสำคัญคือต้องรีบ “เร่งรื้อกฎเกณฑ์” ที่เป็นอุปสรรคภายในประเทศ ทั้งในด้านกฎหมายการค้า กฎระเบียบศุลกากร และการอำนวยความสะดวกของกระทรวงต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมาไม่กล้าแก้เพราะกลัวเสียผลประโยชน์ หากรัฐบาลกล้าใช้ “ข้ออ้างจากทรัมป์” เป็นแรงผลักเพื่อปฏิรูปประเทศ จะเป็นโอกาสสร้าง “นิวไทยแลนด์” อย่างแท้จริง

ไม่พึ่งสหรัฐฯ ไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลจีน ด้วยโมเดล CIA Economy

ในระยะยาว ดร. กอบศักดิ์ ชี้ว่าไทยควรมุ่งสู่การสร้างเศรษฐกิจใหม่ที่ไม่ขึ้นกับสหรัฐฯ หรือจีนมากเกินไป โดยเสนอโมเดล “CIA Economy” ที่ย่อมาจาก China, India และ ASEAN ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลกในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า

การสร้างความเชื่อมโยงทางการค้ากับอินเดีย แอฟริกา และตะวันออกกลางเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไทยควรเร่งดำเนินการ พร้อมๆ กับการลดสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันสูงถึง 18% การกระจายความเสี่ยงเช่นนี้จะช่วยให้ไทยไม่ถูกลากเข้าสู่ความขัดแย้งทางการค้า และสามารถต่อรองกับมหาอำนาจได้มากขึ้น

ดังนั้น ภาษีทรัมป์จึงไม่ใช่ปรากฏการณ์ชั่วคราว แต่คือจุดเริ่มต้นของกระบวนการ “reorder” โลกใหม่ ดร. กอบศักดิ์ เตือนว่าคลื่นลูกแรกอาจผ่านไปแล้ว แต่คลื่นลูกที่สองและสามยังรออยู่ ทั้งในรูปแบบของกฎใหม่ด้านการค้า การปรับโครงสร้างซัพพลายเชน และการเร่งตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างเข้มข้น

ไทยจึงต้องเร่ง “ประคองเศรษฐกิจวันนี้ วางรากฐานอนาคต และเตรียมพร้อมสำหรับโลกที่ไม่แน่นอน” หากหวังจะไม่ตกเป็นเหยื่อของกระแสโลกที่กำลังแปรเปลี่ยน ความเข้าใจลึกซึ้งในมิติของนโยบายภาษีของทรัมป์คือสิ่งที่จำเป็นที่สุดในเวลานี้ และการตอบสนองของไทยต้องไม่ใช่เพียงแค่ตั้งรับ แต่ต้องกล้าที่จะวางเกมรุกด้วยวิสัยทัศน์ระยะยาว

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Amarin TV

ออสเตรเลียเพิ่มโควต้านักเรียนต่างชาติ เป็น 295,000 คน เน้นเด็กอาเซียน

21 นาทีที่แล้ว

โรคใหม่ระบาดในจีน7,000 ราย! รู้จัก ไวรัสชิคุนกุนยา โรคที่มียุงเป็นพาหะ

59 นาทีที่แล้ว

หนุ่มเขมรรับ เคยเป็นทหาร BHQ แต่ลาออกแล้ว หลุดปากเป็นทหารมาได้ 9 เดือน

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

รมช.ศธ. ย้ำยังไม่เปิดสถานศึกษาตามเขตปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

อย่าช้ารีบเลย! เที่ยวไทยคนละครึ่ง เมืองหลักใช้สิทธิเต็มแล้ว เหลือเมืองรอง 9 หมื่นห้อง

MATICHON ONLINE

กกร. เพิ่มคาดการณ์ GDP ปีนี้โต 1.8-2.2%

TNN ช่อง16

“สหรัฐ” เตรียมเดินหน้าทำเหมืองใต้ทะเลร่วมกับหมู่เกาะคุก หลังจีนลงนามความร่วมมือแล้ว

การเงินธนาคาร

ธอส. ชวนซื้อคอนโดมิเนียมมือสอง ลดราคาสูงสุด 50% ผ่านออนไลน์

หุ้นวิชั่น

DIT เร่งเพิ่มโควตารับซื้อลำไย ช่วยเกษตรกรแปลงใหญ่ลำพูน เดินหน้าร่วมเอกชนดูดซับผลผลิต

The Better

กกร.ปรับเพิ่ม GDP ไทยปีนี้ อยู่ที่ ร้อยละ 1.8-2.2 คาดครึ่งหลังปีนี้ ส่งออกชะลอตัว

JS100

เศรษฐกิจไทยตั้งเป้าโต 3-5% "พิชัย" เผยยังต้องแก้ปัญหา-รอ AMC เคลียร์หนี้เสียประชาชน

สยามรัฐ

ปลุกไฟ STEM ในตัวคุณ! PTT Group STEM Camp 2025 ชวนน้อง ม.ต้น ร่วมเปิดโลกวิทยาศาสตร์

Manager Online

ข่าวและบทความยอดนิยม

สหรัฐฯ จ่อเก็บมัดจำวีซ่าสูงสุด 4.8 แสนบาท หวังสกัดคนอยู่เกินกำหนด

Amarin TV

ไทยเร่งล้างบางสินค้าสวมสิทธิ์หนีภาษี 40% local contentคาดต้อง50%ขึ้นไป

Amarin TV

อินเดียซัดสหรัฐฯ แนะอินเดียให้ซื้อน้ำมันรัสเซียเอง แต่กลับโทษคนทำตาม

Amarin TV
ดูเพิ่ม
Loading...