'กอบศักดิ์' ชี้ภาษีทรัมป์ไม่จบ! แนะไทยหั่นดอกเบี้ย-อัดมาตรการอุ้มSMEs
การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้เพียงสะเทือนเวทีการเมืองสหรัฐฯ เท่านั้น หากแต่ยังส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก ด้วยการนำกลยุทธ์ “ภาษี” กลับมาเป็นอาวุธหลักในการต่อสู้เชิงยุทธศาสตร์ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ ภายใต้นโยบาย “America First” ที่เน้นการสร้างแต้มต่อให้ภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ ทรัมป์ใช้ภาษีนำเข้าเพื่อกดดันประเทศคู่ค้าให้เปิดตลาดให้สหรัฐฯ และชะลอการขยายตัวของจีนซึ่งกำลังผงาดขึ้นอย่างรวดเร็วในฐานะคู่แข่งโดยตรงของอเมริกา
ภาษีในแบบของทรัมป์ไม่ใช่แค่ตัวเลขหรืออัตราภาษี หากแต่เป็นสัญญาณของการจัดระเบียบโลกใหม่ การแบ่งชั้นประเทศต่าง ๆ ในระบบ “เทียร์” ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศให้ประโยชน์กับสหรัฐฯ มากน้อยเพียงใด บางประเทศได้ลดภาษี 19% บางประเทศ 20% ขึ้นอยู่กับระดับการเปิดตลาด ไทยซึ่งได้อัตรา 19% นั้น แม้จะดูเหมือนเป็นชัยชนะทางการทูต แต่ก็ต้องแลกกับการเปิดตลาดในบางสินค้า และยังไม่มีอะไรการันตีว่า “ดีล” ดังกล่าวจะยั่งยืนหรือไม่ เพราะในยุคของทรัมป์ ข้อตกลงการค้าอาจเปลี่ยนได้ทุกวันด้วยโพสต์เดียวบนโซเชียลมีเดีย
ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย และประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ได้นำเสนอภาพรวมอันซับซ้อนของปรากฏการณ์นี้ในการเสวนา “Trump’s Tariffs ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมชี้ให้เห็นถึงโอกาส ความเสี่ยง และแนวทางการรับมือของไทยในห้วงเวลาที่โลกกำลังปั่นป่วน
จุดเริ่มต้นของภาษี สหรัฐฯ กำลังเผชิญวิกฤตโครงสร้าง
ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย เปิดประเด็นด้วยการวิเคราะห์โครงสร้างเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันว่าได้เข้าสู่ภาวะ “ไม่ยั่งยืน” ทั้งในด้านดุลการค้าและดุลการคลังอย่างชัดเจน โดยขณะนี้สหรัฐฯ มีตัวเลขขาดดุลการค้าอยู่ที่ราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และมีการขาดดุลงบประมาณสูงถึง 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี นำไปสู่ภาระหนี้สาธารณะที่พุ่งทะยานขึ้นแตะระดับ 36 ล้านล้านดอลลาร์ ส่งผลให้รัฐบาลกลางต้องพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศมากกว่าที่เคยเป็นมา
สถานะของสหรัฐฯ ในเวลานี้จึงไม่ต่างจาก “ประเทศบริโภค” ที่ผลิตได้น้อย แต่นำเข้าและใช้จ่ายเกินตัวเป็นประจำทุกปี กระบวนการนี้ได้สะสมภาระหนี้ต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงแต่จะบั่นทอนเสถียรภาพของระบบการเงินภายใน แต่ยังสะท้อนว่าระบบเศรษฐกิจแบบเดิมของสหรัฐฯ กำลังถึงจุดเปราะบาง และหากไม่มีมาตรการจัดการเชิงโครงสร้างอย่างเร่งด่วน ก็อาจนำไปสู่ภาวะวิกฤตเมื่อถึงวันที่ต้องเริ่มชำระหนี้จำนวนมหาศาลกลับคืน
ท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอเช่นนี้ สหรัฐฯ ยังต้องเผชิญแรงกดดันจากภายนอกที่ทรงพลังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นั่นคือ “จีน” ซึ่งในสายตาของวอชิงตัน ถือเป็นประเทศเดียวที่สามารถท้าทายอำนาจนำของสหรัฐฯ ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยตลอดระยะเวลาเพียง 20-30 ปีที่ผ่านมา จีนได้พลิกโฉมจากประเทศโลกที่สามให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจระดับโลกอย่างสมบูรณ์
วันนี้ จีนคือผู้ผลิตอันดับหนึ่งของโลก ฐานการส่งออกของประเทศมีขนาดใหญ่กว่าสหรัฐฯ ถึงสองเท่า ขณะเดียวกัน จีนยังครองความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม e-Commerce และการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงจำนวนมาก จากการประเมินโดยออสเตรเลียในกลุ่มอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ 44 สาขาสำคัญของโลก พบว่าจีนเป็นผู้นำใน 37 สาขา ส่วนสหรัฐฯ เหลือเพียง 7 ซึ่งหลายฝ่ายก็มองว่าอีกไม่นานจีนอาจตีตื้นจนเหลือศูนย์
ในด้านการศึกษาและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยของจีนหลายแห่งเริ่มไต่ระดับขึ้นมาทาบรัศมี Ivy League ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในด้านการวิจัยขั้นสูง ส่วนในเชิงกายภาพ เมืองต่างๆ ของจีนได้เปลี่ยนโฉมหน้าจากพื้นที่ว่างเปล่าหรืออุตสาหกรรมเบาในทศวรรษ 1980 กลายเป็นมหานครแห่งเทคโนโลยีในเวลาเพียงไม่กี่สิบปี ทั้งเซินเจิ้น ปูตง เซี่ยงไฮ้ เทียนจิน ฉงชิ่ง เฉิงตู กวางโจว และปักกิ่ง ต่างขยายตัวด้วยความเร็วระดับที่สหรัฐฯ เองยังตามไม่ทัน
ท่ามกลางแรงกดดันนี้ การออกมาตรการภาษีของทรัมป์จึงไม่ใช่เรื่อง “ภาษี” แบบเดิมอีกต่อไป แต่คือกลไกในการ "หยุดยั้ง" จีนในทุกรูปแบบที่สามารถทำได้ สหรัฐฯ ต้องการจัดระเบียบการเข้าถึงตลาดของตนใหม่ทั้งหมด โดยยกให้ตลาดอเมริกันเป็นเวทีการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระดับโลก การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในระดับ 54% สำหรับสินค้าขนาดเล็ก และ 30% สำหรับสินค้าขนาดใหญ่ จึงเป็นมาตรการที่มีนัยยะทางภูมิรัฐศาสตร์ชัดเจน
ทรัมป์กับการจัดระเบียบใหม่ของโลกผ่านกำแพงภาษี ไทยได้ 19% แต่ไม่มีอะไรแน่นอน
ดร. กอบศักดิ์มองว่า ภายใต้บริบทนี้ นโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์มิได้เป็นเพียงเครื่องมือปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ หากแต่เป็นกลไกสำคัญที่เขาใช้จัดระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่โดยมีตลาดสหรัฐฯ เป็นศูนย์กลาง โดยทรัมป์เชื่อว่าสหรัฐฯ คือ “ตลาดที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในโลก” เป็นจุดหมายปลายทางที่ทุกประเทศต้องการเข้าถึง และด้วยเหตุนี้ เขาจึงออกแบบระบบการค้าระหว่างประเทศใหม่ โดยจัดประเทศต่าง ๆ ออกเป็นลำดับขั้นหรือ “เทียร์” ตามระดับความร่วมมือและผลประโยชน์ที่แต่ละประเทศยินดีมอบให้สหรัฐฯ
ประเทศที่ “ให้” มาก ยอมเปิดตลาดสินค้าให้สหรัฐฯ อย่างเต็มที่ และไม่ตั้งกำแพงภาษีกับสินค้านำเข้าจากอเมริกา จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า ขณะที่ประเทศที่ยังคงใช้มาตรการปกป้องตลาดของตนเอง จะถูก “ลงโทษ” ด้วยอัตราภาษีที่สูงขึ้น ภายใต้ระบบใหม่นี้ ประเทศไทยนับเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ได้รับการจัดอยู่ในกลุ่มที่ “ได้คะแนนดี” จากทรัมป์ โดยได้สิทธิภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ระดับ 19% ซึ่งดีกว่าเวียดนามที่ได้ 20% แม้ว่าเวียดนามจะเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ มากกว่าก็ตาม
ความไม่สมดุลนี้ทำให้เกิดคำถามเชิงยุทธศาสตร์ว่าเหตุใดไทยจึงได้เปรียบกว่า ทั้งที่ “ให้” น้อยกว่า ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล อธิบายว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการที่ไทยอยู่ใน “พอร์ตโฟลิโอ” ของทรัมป์ ร่วมกับประเทศอย่างกัมพูชา มาเลเซีย และปากีสถาน ซึ่งเป็นประเทศที่ทรัมป์ให้ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์เป็นพิเศษ และมีเป้าหมายในการใช้เป็นตัวอย่างความสำเร็จของนโยบายการเจรจา เพื่อสร้างเครดิตทางการเมือง โดยเฉพาะความทะเยอทะยานส่วนตัวของทรัมป์ที่จะคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพให้ได้เช่นเดียวกับบารัค โอบามา
ในมุมนี้ ทีมเจรจาของไทยมีบทบาทสำคัญในการรักษาความต่อเนื่องของการพูดคุยกับสหรัฐฯ และเสนอผลประโยชน์ในหลายด้านให้ทรัมป์ใช้แสดง “ชัยชนะทางการเมือง” ของเขา ซึ่งส่งผลให้ไทยสามารถ “ถูกดันขึ้นมา” มาอยู่ในกลุ่มที่ได้ภาษี 19% แม้จะไม่ได้เปิดตลาดให้สหรัฐฯ มากที่สุดก็ตาม แต่ถึงกระนั้น ดร. กอบศักดิ์เตือนอย่างหนักแน่นว่า อย่าเพิ่งตายใจ เพราะในยุคทรัมป์ “ไม่มีอะไรแน่นอน”
แม้สิทธิ 19% จะดูเหมือนความสำเร็จระยะสั้น แต่ทั้งหมดนี้ยังเป็นเพียง “ยกแรก” ของเกมที่ยังไม่จบ ยังมีประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา เช่น ปัญหา “transshipment” หรือการลักลอบเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า นอกจากนี้ยังมีการเตรียมออกมาตรการควบคุม “กฎถิ่นกำเนิดสินค้า” (Rule of Origin) ในระดับประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การตรวจสอบสินค้าไทยที่เข้มข้นมากขึ้นในอนาคต
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีแนวโน้มว่าสหรัฐฯ จะขยายมาตรการภาษีไปยังระดับ “กลุ่มประเทศ” เช่น BRICS ที่อาจถูกเก็บภาษีเฉลี่ยที่ 10% ขณะที่ไทยที่ยังไม่เข้าร่วมเต็มตัวก็อาจถูกพิจารณาเรียกเก็บเพิ่มที่ระดับ 5% หากมีเหตุผลเฉพาะ เช่น การริเริ่มระบบการเงินทางเลือกที่ไม่ใช้ดอลลาร์ (new payment alternatives to dollar) ที่สหรัฐฯ อาจมองว่าเป็นภัยต่อระบบการเงินโลกของตนเอง นอกจากนี้ยังมีระดับ “อุตสาหกรรม” เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม ยานยนต์ ที่อาจถูกขึ้นภาษีในอนาคต และสุดท้ายคือมาตรการระดับ “โรงงาน” ที่มุ่งควบคุมต้นทางการผลิตอย่างละเอียด
พายุลูกที่สอง ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเริ่มมาแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้สะท้อนชัดเจนว่า การเผชิญหน้าทางเศรษฐกิจในยุคทรัมป์ไม่ได้มีเพียงมิติเดียว แต่แผ่ขยายไปสู่ภูมิรัฐศาสตร์ การจัดตั้งพันธมิตร และแม้กระทั่งมิติทางการทหาร ความผิดพลาดในอดีตของหลายประเทศคือการประเมินสถานการณ์เพียงในเชิงเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้มองในมิติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การวางแผนของไทยจึงจำเป็นต้องรอบด้าน เพื่อรับมือกับภาษีของทรัมป์
และที่น่ากังวลยิ่งกว่า คือผลกระทบที่เกิดขึ้นจากมาตรการภาษีไม่ได้จำกัดแค่ในมิติเศรษฐกิจเท่านั้น หากแต่เป็น “พายุหลายลูก” ที่กระหน่ำเข้ามาในรูปแบบของความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระบบโลก เหมือนสึนามิที่ไม่ได้มาครั้งเดียว แต่มาเป็นระลอก และกำลังจะเข้าสู่ “คลื่นลูกที่สอง” ที่มีผลชัดเจนต่อเศรษฐกิจไทย
หนึ่งในผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดจากนโยบายภาษีของทรัมป์ คือการที่การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ ติดลบถึง 34% จนทำให้จีนต้องเร่งระบายสินค้าส่วนเกินออกสู่ตลาดใหม่ ซึ่งไทยคือหนึ่งในเป้าหมายหลัก ตัวเลขนำเข้าสินค้าจากจีนมายังไทยเพิ่มขึ้นถึง 28% ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน
นี่คือคลื่นลูกที่สองที่กำลังถาโถมเข้าสู่ “ภาคเศรษฐกิจจริง” ของไทย ทั้งภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และกลุ่ม SMEs ที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากสินค้าจีนราคาถูก ผลิตในปริมาณมาก และต้นทุนต่ำ ดร. กอบศักดิ์ เตือนว่า “SMEs ตายแน่” หากไม่มีมาตรการป้องกัน เพราะแม้แต่บริษัทขนาดใหญ่ยังตั้งตัวไม่ทัน
ปัญหาซ้อนปัญหาคือ เศรษฐกิจภายในประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ กำลังซื้อของผู้บริโภคยังเปราะบาง ขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมือง ความล่าช้าในการผ่านงบประมาณ และบทบาทของภาคราชการที่ไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายเชิงรุกได้เต็มที่ ดร. กอบศักดิ์ ประเมินว่า หากไม่มีมาตรการกระตุ้นอย่างเร่งด่วน จีดีพีของไทยในปีนี้อาจโตได้เพียง 1.5–2% เท่านั้น
มาตรการเร่งด่วน ซื้อประกันเศรษฐกิจก่อนเครื่องดับ
ดร. กอบศักดิ์ชี้ว่า ทางออกระยะสั้นที่สำคัญที่สุดคือการ “ลดดอกเบี้ย” เพื่อสร้างแรงส่งให้เศรษฐกิจ ไม่ใช่เพียงเพื่อกระตุ้นการลงทุน แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจดับลงจนต้องใช้กำลังมหาศาลในการฟื้นฟู ดร. กอบศักดิ์ เสนอให้ลดดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้งภายในปีนี้ เพราะในภาวะที่เงินเฟ้อไม่ใช่ปัญหา การกระตุ้นเศรษฐกิจมีความจำเป็นมากกว่า
พร้อมกันนี้เสนอให้รัฐบาลใช้มาตรการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในลักษณะ Buy Thai, Support SMEs โดยจัดสรรสัดส่วนให้สินค้าและบริการจาก SMEs ไทยอย่างน้อย 50% พร้อมสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านกลไกของบสย. ซึ่งจะช่วยยืดระยะหายใจให้ผู้ประกอบการ และรักษาฐานการจ้างงานในประเทศ
ในมุมของโครงสร้างเศรษฐกิจ ดร. กอบศักดิ์ เสนอให้ใช้โอกาสนี้ในการเร่งดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่กำลัง “ย้ายฐาน” ออกจากจีน เช่น เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ Data Center EV และ Biotech โดยยกตัวอย่างว่าอุตสาหกรรมเหล่านี้เริ่ม “fill up” ในไทยแล้ว และหากใช้จังหวะนี้ได้ดี ไทยอาจกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค
ข้อมูลจาก BOI ยืนยันว่า อุตสาหกรรมเหล่านี้เริ่มเข้ามาจริง ไม่ใช่แค่ในรูปคำพูดเหมือนอดีต และหากไทยสามารถรักษาอัตราภาษี 19% ไว้ได้ในระยะยาว ไทยอาจกลายเป็นฐานการผลิตใหม่ระดับภูมิภาค แทนที่จีน อินเดีย หรือแม้แต่เวียดนาม
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขสำคัญคือต้องรีบ “เร่งรื้อกฎเกณฑ์” ที่เป็นอุปสรรคภายในประเทศ ทั้งในด้านกฎหมายการค้า กฎระเบียบศุลกากร และการอำนวยความสะดวกของกระทรวงต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมาไม่กล้าแก้เพราะกลัวเสียผลประโยชน์ หากรัฐบาลกล้าใช้ “ข้ออ้างจากทรัมป์” เป็นแรงผลักเพื่อปฏิรูปประเทศ จะเป็นโอกาสสร้าง “นิวไทยแลนด์” อย่างแท้จริง
ไม่พึ่งสหรัฐฯ ไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลจีน ด้วยโมเดล CIA Economy
ในระยะยาว ดร. กอบศักดิ์ ชี้ว่าไทยควรมุ่งสู่การสร้างเศรษฐกิจใหม่ที่ไม่ขึ้นกับสหรัฐฯ หรือจีนมากเกินไป โดยเสนอโมเดล “CIA Economy” ที่ย่อมาจาก China, India และ ASEAN ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลกในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า
การสร้างความเชื่อมโยงทางการค้ากับอินเดีย แอฟริกา และตะวันออกกลางเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไทยควรเร่งดำเนินการ พร้อมๆ กับการลดสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันสูงถึง 18% การกระจายความเสี่ยงเช่นนี้จะช่วยให้ไทยไม่ถูกลากเข้าสู่ความขัดแย้งทางการค้า และสามารถต่อรองกับมหาอำนาจได้มากขึ้น
ดังนั้น ภาษีทรัมป์จึงไม่ใช่ปรากฏการณ์ชั่วคราว แต่คือจุดเริ่มต้นของกระบวนการ “reorder” โลกใหม่ ดร. กอบศักดิ์ เตือนว่าคลื่นลูกแรกอาจผ่านไปแล้ว แต่คลื่นลูกที่สองและสามยังรออยู่ ทั้งในรูปแบบของกฎใหม่ด้านการค้า การปรับโครงสร้างซัพพลายเชน และการเร่งตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างเข้มข้น
ไทยจึงต้องเร่ง “ประคองเศรษฐกิจวันนี้ วางรากฐานอนาคต และเตรียมพร้อมสำหรับโลกที่ไม่แน่นอน” หากหวังจะไม่ตกเป็นเหยื่อของกระแสโลกที่กำลังแปรเปลี่ยน ความเข้าใจลึกซึ้งในมิติของนโยบายภาษีของทรัมป์คือสิ่งที่จำเป็นที่สุดในเวลานี้ และการตอบสนองของไทยต้องไม่ใช่เพียงแค่ตั้งรับ แต่ต้องกล้าที่จะวางเกมรุกด้วยวิสัยทัศน์ระยะยาว