FETCO ชี้ภาษี 25% ทางออกดีสุด แนะรัฐบาลเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ-ปฏิรูปประเทศ
FETCO เผยการเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ คาดอัตราภาษี 25% เหมาะสมที่สุด แนะรัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รับมือวิกฤตหุ้นกู้ และหวังการเมืองอยู่ในกรอบ พร้อมย้ำจำเป็นต้องปฏิรูประบบเศรษฐกิจไทยครั้งใหญ่
14 กรกฎาคม 2568 นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO เปิดเผยภายในงาน"FETCO x ThaiBMA สัมมนา Investment Forum 2025" ว่า การเจรจาการค้าระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐฯ ส่วนตัวมองว่าอัตราภาษี 25% ถือเป็นระดับเหมาะสม เพราะโอกาสที่จะได้อัตราภาษี 20% น้อยมาก
ดังนั้นอัตราภาษีที่ระดับ 25% น่าจะเป็นสิ่งที่ดี เพื่อบางกลุ่มอุตสาหกรรม ( 5 กลุ่ม) ที่ไม่สามารถยอมให้ได้จริงๆ แต่มีบางอุตสาหกรรมที่เหลือที่พร้อมเจรจาทางการค้ากัน และให้ไทยได้มีจุดยืนที่เหมาะสม เพราะอาจต้องมีแลกเปลี่ยนในหลายเรื่อง
ทั้งนี้เชื่อว่าแนวทางการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯคิดว่าประเทศไทยมีทางเลือกไม่มากนัก มองมี 3 ทางเลือก ได้แก่
- ยอมรับสภาพที่ระดับ 36%
- กลับไปเจรจาเพิ่มให้ได้อัตราภาษี 25%
- เดินตามทางเวียดนามที่ทำเต็มให้ได้ 20%
ขณะที่ Trade-offs ที่ต้องตัดสินใจในการเลือกเป้าหมายอัตรา Tariffs คือ ผลต่อภาคเศรษฐกิจต่างๆทั้งการส่งออก อุตสาหกรรม หรือเกษตร เพื่อให้มีทางออกที่ดี เช่น เก็บเงินที่ได้จากการส่งออกเพื่อมาชดเชยให้กับภาคเกษตรในระดับ 50,000-100,000 ล้านบาท เพราะหากต้องทำทุกภาคอุตสาหกรรมคิดว่ายากที่จะดำเนินการได้
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจข้างหน้าจะชะลอตัว ดังนั้น มอง 4 มาตรการระยะสั้น ที่ตลาดทุนอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญ ได้แก่
- อยากให้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
- การรักษาความเชื่อมั่นนักลงทุนอย่างเป็นระบบ
- เตรียมการรับมือกับวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องหุ้นกู้จะเตรียมการด้านสภาพคล่อง
- หวังการเมืองจะอยู่ในกรอบ ซึ่งหากมีปัญหามากกว่านี้ก็คงจะรับไม่ไหว ข้อขัดแย้งเกิดขึ้นได้แต่ต้องเป็นไปตามครรลอง
ส่วนมาตรการระยะยาว ไทยต้องปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจ เพราะสาเหตุที่ดัชนีหุ้นไทย (SET INDEX) ไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะกลุ่มอุตสาหกรรมในตลาดไม่เคยปรับเปลี่ยนมาเป็นเวลานานแล้ว รวมถึงอุตสาหกรรมไทยถึงไม่เติบโต เนื่องจากอยู่ในกลุ่มเก่าๆ มากว่า 30 ปีแล้ว ดังนั้นถึงเวลาที่ไทยต้องเปลี่ยนครั้งใหญ่ เพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมีทั้งเรื่องเทคโนโลยี เศรษฐกิจที่มาสู่เอเซีย รวมถึงเรื่อง Green จึงหวังให้รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องเหล่านี้เพิ่มขึ้นด้วย