‘กอบศักดิ์’ ชี้ปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน หวั่นฉุดเศรษฐกิจไทยปี 68 โตแค่ 1.5%
'กอบศักดิ์' ประเมินเศรษฐกิจปีนี้โจทย์หิน 'แบงก์กรุงเทพ' หั่นเป้า GDP เหลือ 2% แนะเสี่ยงหนักอาจต่ำถึง 1.5% ชี้ 'ส่งออก-ท่องเที่ยว -นโยบายทรัมป์' กระทบเศรษฐกิจไทยสะดุด ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศฉุดรั้งการลงทุนภาคเอกชน จับตาความไม่แน่นอน ศก.โลก
30 มิ.ย. 2568 - นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการ บริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ที่กำลังเผชิญปัจจัยรอบด้าน โดยธนาคารกรุงเทพ ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศไทยในปีนี้ลงเหลือ 2% จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 3% ยอมรับว่ายังมีความเสี่ยงขาลง(downside )ที่จะมีโอกาสต่ำ 1.5%
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยถดถอยอย่างเห็นได้ชัด เริ่มต้นจาก ภาคการส่งออก ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักที่เคยถูกคาดหวังว่าจะฟื้นตัวได้ดีในปีนี้ กลับไม่เป็นไปตามเป้า เนื่องจากมีการวิเคราะห์ว่าประเทศคู่ค้าได้เร่งกักตุนสินค้าไปแล้วในช่วงต้นปี ได้เร่งการส่งออกตั้งแต่ต้นปีเพื่อหนีภาษี เพื่อป้องกันความผันผวนจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทำให้การสั่งซื้อในครึ่งปีหลังอาจจะซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากไม่มีการซื้อขาย นอกจากนี้ ยังมีความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า(สหรัฐ) จึงทำให้สถานการณ์การส่งออกมีความเสี่ยงสูงขึ้นอีกด้วย
“ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความหวังของเศรษฐกิจไทยก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเหตุการณ์ความไม่สงบและวิกฤตความขัดแย้งในหลายพื้นที่ทั่วโลก ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เช่นกรณีเหตุการณ์ลักพาตัวนักแสดงชาวจีน(ซิงซิง)ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวโดยรวมลดลงอย่างมาก จากที่เคยคาดการณ์ว่าจะเติบโตถึง 20% กลับกลายเป็น ติดลบไปแล้วถึง 2-3% อย่างไรก็ตาม ยังพอมีความหวังจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจากยุโรปที่ยังคงเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง“ นายกรอบศักดิ์ กล่าว
นอกจากปัจจัยภายนอกแล้ว ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไว้ โดยความล่าช้าในการขับเคลื่อนนโยบายและการตัดสินใจที่สำคัญของภาครัฐ ทำให้การลงทุนและการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนชะลอตัวลง บรรยากาศทางธุรกิจขาดไม่เอื้อต่อการลงทุนใหม่ ๆขณะที่ ภาคธุรกิจ ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น ผู้บริโภค ยอดขายในร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าที่ลดลงสะท้อนจาก ยอดรูดบัตรเครดิตที่ติดลบอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการปิดตัวของร้านอาหารจำนวนมาก และการปิดโรงงาน ดังนั้นมองว่าเศรษฐกิจโดยรวมปีนี้เผชิญโจทย์ยากมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภายใน 1 เดือนคงต้องรอความชัดเจนของอัตราภาษีการค้าที่สหรัฐเพิ่มขึ้นในแต่ละประเทศเพื่อจะได้ประเมินว่าผลกระทบที่ไทยจะได้รับอยู่ในระดับไหนในอีกไม่นานนี้ จะมีการประกาศเก็บภาษีรายประเทศออกมา ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ก็จะสามารถประมาณการณ์ตัวเลขการส่งออกในช่วงปลายปีได้ว่าจะออกมาดีหรือไม่ดี โดยเฉพาะอัตราภาษีที่ ประเทศคู่แข่งทางการค้าของไทยอย่างเวียดนามจะได้รับ
ทั้งนี้ มองว่าสิ่งที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ โดยมองว่ารัฐบาลควรเร่งมือผลักดัน ประเด็นหลักอย่างเร่งด่วน เช่นการท่องเที่ยว ยังคงเป็นความหวังสำคัญ หากสถานการณ์ความขัดแย้งทั่วโลกคลี่คลายลง รัฐบาลควรเร่งโปรโมทการท่องเที่ยวใน ตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น อินเดีย เพื่อทดแทนตลาดเดิมที่ซบเซาไป ดังนั้นปีนี้ หากมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยได้ถึง 35.5 ล้านคนเท่ากับปีก่อนก็นับว่าดีมากแล้ว โดยพบว่านักท่องเที่ยวจีนที่เป็นกรุ๊ปทัวร์และจากเมืองรองหายไป ขณะที่เป็นครอบครัวยังมาอยู่ ส่วนนักท่องเที่ยวยุโรปยังเดินทางมาอยู่ โต18% แต่ภาพรวมก็ยังถือว่ายังไม่เข้าเป้า จึงทำให้น่าหนักใจ
“ต้องยอมรับว่าท่องเที่ยวไทยไม่ใช่เบอร์หนึ่งอีกต่อไป เนื่องจากพบว่าญี่ปุ่นแซง มาเลเซียตีตื้น จากเดิมที่ไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั้งนี้ที่ผ่านมาเมื่อเกิด สถานการณ์ที่กระทบต่อความเชื่อมั่น ในการมาเที่ยวไทย เช่น สึนามิ ไข้หวัดนก การประท้วง ส่วนใหญ่มักจะฟื้นหลังจากผ่านไปแล้ว 4 เดือน” นายกอบศักดิ์ กล่าว
ขณะที่ภาคการส่งออก ไม่ควรรอความหวังจากประเทศคู่ค้าเดิมอีกต่อไป แต่ควรหันไป มองหาตลาดส่งออกใหม่ ๆนอกเหนือจากสหรัฐอเมริกา และเร่งเจรจาทางการค้าเพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับผู้ประกอบการไทย ส่วยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ยังคงเป็นจุดแข็งของไทย เนื่องจากไทยยังคงเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ รัฐบาลจึงควรเร่งรัดให้สิทธิประโยชน์ที่น่าดึงดูดใจเพื่อดึงดูดการลงทุนให้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ มองว่ารัฐบาลควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการ ดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพ ทั้งนักลงทุนและกลุ่มผู้เชี่ยวชาญให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม Startup ที่กำลังมองหาฐานการดำเนินงานแห่งใหม่ เพื่อสร้างบรรยากาศทางธุรกิจที่คึกคักและขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว
นอกจากนี้ ยังฝากถึงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. คนใหม่ว่า อยากให้พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.50% โดยอาจทยอยลดอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% เพื่อสร้างโมเมนตั้มให้กับเศรษฐกิจไทย เตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนของโลก ที่ต้องเผชิญกับสงครามความขัดแย้งที่ไม่รู้จะยืดเยื้อยาวนานแค่ไหน ซึ่งจะกระทบให้นักลงทุนชะลอการตัดสินใจซื้อ ชะลอลงทุน ชะลอขยายธุรกิจ หรือชะลอการจ้างงานเพิ่ม หากธปท.ลดดอกเบี้ยให้มีแรงส่ง
“เมื่อถึงวันที่เศรษฐกิจโลกชะลอลง ประเทศไทยจะได้พอไปต่อได้ เรียกว่าพอมีข่าวดีได้บ้างแม้จะเล็กน้อยแต่ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย หากไม่ทำตอนนี้ แล้วไปลดดอกเบี้ยเมื่อวันที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวแล้ว ก็คงไม่ทันการณ์ บวกกับการเมืองของเมืองไทยก็ไม่นิ่ง ท่องเที่ยวก็ไม่ดี เปรียบว่าหากรอให้เครื่องบินตก แล้วไปเหยียบคันเร่งตอนนั้นก็คงไม่ทัน ยิ่งเราไม่มีปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ ก็ยิ่งควรทำก่อน ทั้งนี้ กังวลใจว่าที่รัฐประมาณการว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตได้ 2.3% นั้นจะทำได้จริงหรือไม่ วันนี้เราต้องทำทุกทางเพื่อให้ไปได้ และจะสร้างความอุ่นใจ ความเชื่อมั่นให้กับเอกชน” นายกอบศักดิ์ กล่าว