LHFG โตสวนตลาด คงเป้าสินเชื่อปี 68 ที่ 7-8% เน้น SMEs ศักยภาพสูง-สินเชื่อไฮยิลด์ ท่ามกลางเศรษฐกิจเปราะบาง
แม้เศรษฐกิจโลกจะซบเซา จากความขัดแย้งทางการค้า สงคราม และนโยบายกีดกันใหม่ของสหรัฐอเมริกา ที่ฉุดให้จีดีพีโลกปี 2568 เหลือเพียง 2.8% ต่ำที่สุดในรอบหลายปี (หากไม่นับช่วงโควิด-19)
ไทยเองถูกกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าจะโตแค่ 1.8% แต่กลุ่มการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ หรือ LHFG ยังคงแนวโน้ม ‘เติบโตสวนกระแส’ ได้อย่างน่าจับตา
ในครึ่งปีแรกของปี 2568 กลุ่ม LHFG มีกำไรสุทธิ 1,121 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 25.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยขาลง ตลาดหุ้นผันผวน และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์
หนุนด้วยการเติบโตของสินเชื่อคุณภาพทั้งฝั่งลูกค้ารายย่อยและธุรกิจ SMEs ที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะจากธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH Bank ซึ่งยังคงเป้าหมายสินเชื่อทั้งปีไว้ที่ 7-8% มากกว่าตลาดรวมที่หดตัว
[ เศรษฐกิจปี 2568 บีบไทยโตต่ำ ]
เศรษฐกิจโลกปี 2568 เผชิญแรงกดดันจากหลายทิศ ทั้งสงครามภูมิรัฐศาสตร์ การทะลักของสินค้าจีน และโดยเฉพาะนโยบาย ‘Reciprocal Tariff’ ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ส่งผลต่อนโยบายการค้าทั่วโลก
IMF ปรับลดคาดการณ์จีดีพีโลกลงเหลือ 2.8% ขณะที่ไทยอยู่ในกลุ่มเติบโตต่ำสุด คาดว่าจะขยายตัวเพียง 1.7-1.8% ซึ่ง LH Bank ประเมินไว้คล้ายกัน และหากทรัมป์เดินหน้าขึ้นภาษีถึง 36% จริง ไทยอาจเผชิญภาวะจีดีพีโตเพียง 1%
สิ่งที่กดดันเศรษฐกิจไทยคือการส่งออกที่ชะงัก ความเปราะบางจากหนี้ครัวเรือน และความแข็งแกร่งของการแข่งขันในประเทศที่ทวีคูณจากสินค้าจีนราคาถูก
[ กลยุทธ์สวนกระแสของ LHFG ]
ในภาวะที่แบงก์หลายแห่งชะลอปล่อยสินเชื่อ LHFG กลับเลือกใช้ ‘วิธีคิดกลับทาง’ โดยใช้ข้อมูล ความเข้าใจ และระบบสนับสนุนจาก CTBC ไต้หวัน (ผู้ถือหุ้นใหญ่) เพื่อเดินหน้าสู่สินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูงและควบคุมความเสี่ยงได้
การตั้งเป้าเติบโตสินเชื่อ 7-8% ในปีนี้ สะท้อนความมั่นใจขององค์กรที่ไม่เพียงมองเห็นโอกาส แต่ยังมีระบบบริหารจัดการความเสี่ยงที่พร้อมรองรับความไม่แน่นอน
[ โฟกัส SMEs คุณภาพ-สินเชื่อไฮยิลด์ ]
ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซึ่งเป็นแกนหลักของกลุ่ม LHFG มีกำไรครึ่งปีแรก 1,103 ล้านบาท โต 30.3% จากปีก่อน และปล่อยสินเชื่อเติบโต 3.4% ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ดีกว่าตลาดรวม
สินเชื่อโตเด่นในฝั่ง:
• สินเชื่อรายย่อย เช่น สินเชื่อบ้าน โตถึง 9.3%
• สินเชื่อธุรกิจ โต 1.8%
• SMEs โตจากการใช้โปรแกรมผลิตภัณฑ์ (Product Program) แบบเฉพาะกลุ่ม
ขณะที่ฐานลูกค้ารายย่อยโตอีก 13% จากผลิตภัณฑ์เงินฝากดิจิทัล ‘B-You Max’ และบริการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ที่ขยายตัวดี
LH Bank ยังเน้นขยายกลุ่มที่ผลตอบแทนสูง (High Yield) เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล (P Loan), สินเชื่อบ้านแลกเงิน (Home for Cash) พร้อมรักษาพอร์ตคุณภาพผ่านการบริหารความเสี่ยงเชิงรุก
[ บริหารสินเชื่อ vs. เงินฝากอย่างสมดุล ]
แม้ดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มปรับลด แต่ LH Bank ยังรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net Interest Margin: NIM) ได้ใกล้เคียงเดิมจากการควบคุมต้นทุนเงินทุน (Cost of Fund)
ในฝั่งของเงินฝาก เติบโต 1.6% YTD พร้อมรักษาอัตราส่วนปริมาณสินเชื่อต่อยอดเงินฝาก (Loan to Deposit Ratio: LDR) ที่ 92% ถือว่าแข็งแรงและสมดุล
[ สำรองพร้อม-คุมหนี้เสียต่ำ 3% ]
ภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางและความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า ทำให้ LH Bank เพิ่มการตั้งสำรองจาก 166 ล้านบาทในไตรมาส 1 เป็น 330 ล้านบาทในไตรมาส 2 หรือเพิ่มขึ้น 99% เทียบไตรมาสต่อไตรมาส (QoQ)
แต่ด้วยการตั้งสำรองเชิงรุก ทำให้ธนาคารยังสามารถคงอัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ระดับ 2.6% และตั้งเป้าไม่เกิน 3% ตลอดปีนี้
[ ปรับเกมท่ามกลางดอกเบี้ยขาลง ]
ในช่วงที่รายได้จากดอกเบี้ยถูกกดดัน ธนาคารจึงหันมาเพิ่ม รายได้ค่าธรรมเนียม (Fee Income) ซึ่งโตเกือบ 30% จากธุรกิจหลายด้าน เช่น:
• ปล่อยสินเชื่อ
• การค้าระหว่างประเทศ
• ขายประกัน
• ธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ (FX)
ส่วนค่าใช้จ่ายโตประมาณ 6-7% จากการลงทุนในบุคลากรและไอที เพื่อรองรับการขยายธุรกิจระยะยาว
[ ธุรกิจกองทุนยังเติบโตต่อเนื่อง ]
กองทุนรวมภายใต้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (LH Fund) มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ราว 90,000 ล้านบาท เติบโตจาก:
• ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ที่แข็งแรงและเติบโตดี
• กองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่โตต่อเนื่อง
• การขยายฐานลูกค้ากลุ่มที่มีรายได้สูง (High Net Worth) และองค์กร
ในครึ่งหลัง LH Fund เดินเกมเชิงรุกมากขึ้น ปรับบทบาททีมบริหารลงทุนให้ครอบคลุม และพัฒนาโซลูชันเฉพาะบุคคลให้ตอบโจทย์มากขึ้น
[ ธุรกิจโบรกปรับตัวรับความผันผวน ]
ธุรกิจโบรกเกอร์ของบริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH Securities เจอผลกระทบจาก:
• ดัชนี SET ลดลง 22% ครึ่งปีแรก
• มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยลดลง 7%
• นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ
แต่บริษัทไม่หยุดแค่ ‘รับแรงกระแทก’ กลับหันไปหาแหล่งรายได้ใหม่ เช่น:
• ปรับโมเดลสาขา
• ลงทุนระบบดิจิทัล
• เพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม-ที่ปรึกษาทางการเงิน
• ขยายบริการหลักทรัพย์ต่างประเทศ
[ 3 กลยุทธ์ในช่วงครึ่งปีหลัง ]
ครึ่งปีหลัง LHFG จะเดินเกมเข้มขึ้นใน 3 ด้านหลัก:
1. SMEs – เพิ่ม Product Program แบบเจาะกลุ่มอุตสาหกรรม เดินหน้าสินเชื่อผ่านบริการ Corporate E-Banking
2. E-Banking & Platform – เพิ่มค่าธรรมเนียมจากธุรกิจออนไลน์ เน้นแพลตฟอร์ม LHB Biz Connect
3. Sustainable Banking – เดินหน้าสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) และสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน (Transition Finance) พร้อมพันธมิตรใหม่ 2-3 ราย
[ หุ้นไทยดาวน์ไซด์ลด-โอกาสเปิด ]
สำหรับตลาดหุ้นไทย LHFG ประเมินว่า SET ปลายปีน่าจะไปถึงระดับ 1,280 จุด เพราะมูลค่า (Valuation) ถูกมาก และความเสี่ยงขาลง (Downside Risk) ต่ำลง
ส่วนผลกระทบจากกำแพงภาษีทรัมป์ที่ส่งผลต่อตลาดโลกนั้น กลับกลายเป็นโอกาสในบางส่วน โดยเฉพาะบริการ Trade Finance ที่ลูกค้าบางรายเร่งส่งออกเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
[ โตในปีที่ไม่มีใครคิดว่าจะโตได้ ]
แม้ปี 2568 จะเป็นปีแห่งความไม่แน่นอน แต่ LHFG กลับแสดงให้เห็นถึง ‘วิธีคิดแบบสวนทาง’ ที่มองเห็นโอกาสในช่วงวิกฤต พร้อมใช้ทรัพยากรที่มีอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะความร่วมมือกับ CTBC ไต้หวัน การปล่อยสินเชื่ออย่างมีข้อมูล และการเดินหน้าสู่ความยั่งยืน
ในวันที่ตลาดชะลอ LHFG ยังกล้า ‘เร่งเครื่อง’ ผ่านพอร์ต SMEs ที่มีศักยภาพ และสินเชื่อ High Yield ที่ออกแบบมาด้วยความเข้าใจความเสี่ยงอย่างแท้จริง…