ปี 69 เงินสมทบขยับ 3 ระยะ! เปิดสูตรใหม่ประกันสังคม จ่ายมาก-ได้มาก
เตรียมความพร้อมก่อนถึงปี 2569 กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระบบประกันสังคมไทย เมื่อสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เตรียมเดินหน้าปรับโครงสร้าง “เงินสมทบ” ใหม่แบบ 3 ขั้นตามระดับรายได้ ภายใต้แนวคิด "จ่ายตามจริง ได้ประโยชน์ตามจริง" ถือเป็นการปฏิรูประบบสวัสดิการให้สอดรับกับสภาพเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงของสังคมในอนาคต โดยยังคงรักษาหลักความเป็นธรรมให้กับผู้ประกันตนทุกกลุ่ม
ทำไมต้องปรับสูตรเงินสมทบ?
ในปัจจุบันผู้ประกันตน ม.33 (ลูกจ้างในระบบ) และ ม.39, ม.40 (ผู้ประกอบอาชีพอิสระ) ต่างจ่ายเงินสมทบในอัตราเท่ากันโดยอิงจากฐานเงินเดือนสูงสุดที่ 15,000 บาท ซึ่งไม่สะท้อนรายได้ที่แท้จริงของผู้ประกันตนในหลายระดับ และส่งผลต่อความยั่งยืนของกองทุนในระยะยาว
การปรับสูตรใหม่นี้ จึงมุ่งเน้นให้ผู้มีรายได้สูงจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันผู้มีรายได้น้อยยังคงได้รับการคุ้มครองในระดับที่เหมาะสมและจ่ายตามกำลังความสามารถ
เปิดสูตรใหม่ “จ่ายมาก-ได้มาก” แบ่ง 3 ขั้นตามรายได้
สปส. เตรียมนำระบบเงินสมทบแบบ “ขั้นบันได” มาใช้ ซึ่งจะแบ่งระดับการจ่ายออกเป็น 3 ขั้น ตามรายได้ที่แท้จริง โดยเบื้องต้นมีรายละเอียดดังนี้
ขั้นที่ 1: เริ่มใช้ปี 2569 – 2571
- เพดานค่าจ้างใหม่ จากเดิม 15,000 บาท ปรับเป็น 17,500 บาท
- เงินสมทบสูงสุดต่อเดือน จาก 750 บาท ปรับเป็น 875 บาท
- สิทธิประโยชน์ที่ปรับเพิ่ม เช่น เจ็บป่วย 7,500 → 8,750 บาท/เดือน (สูงสุด 52,500 บาท) คลอดบุตร 22,500 → 26,250 บาท/ครั้ง ทุพพลภาพ 7,500 → 8,750 บาท/เดือน เสียชีวิต 90,000 → 105,000 บาท ว่างงาน 7,500 → 8,750 บาท/เดือน
- สิทธิบำนาญชราภาพ ปรับเพิ่มเป็น
- ส่งสมทบ 15 ปี 3,000 → 3,500 บาท/เดือน
- ส่งสมทบ 25 ปี 5,250 → 6,125 บาท/เดือน
ขั้นที่ 2: เริ่มใช้ปี 2572 – 2574
- เพดานค่าจ้าง ปรับเพิ่มเป็น 20,000 บาท
- เงินสมทบสูงสุดต่อเดือน เพิ่มเป็น 1,000 บาท
- สิทธิประโยชน์ที่ปรับเพิ่ม เช่น เจ็บป่วย 10,000 บาท/เดือน (สูงสุด 60,000 บาท) คลอดบุตร 30,000 บาท/ครั้ง ทุพพลภาพ 10,000 บาท/เดือน เสียชีวิต 120,000 บาท ว่างงาน สูงสุด 10,000 บาท/เดือน
- สิทธิบำนาญชราภาพ ปรับเพิ่มเป็น
- ส่งสมทบ 15 ปี 4,000 บาท/เดือน
- ส่งสมทบ 25 ปี 7,000 บาท/เดือน
ขั้นที่ 3: เริ่มใช้ปี 2575 เป็นต้นไป
- เพดานค่าจ้าง ขยับเป็น 23,000 บาท
- เงินสมทบสูงสุดต่อเดือน เพิ่มเป็น 1,150 บาท
- สิทธิประโยชน์ที่ปรับเพิ่ม เช่น เจ็บป่วย รับสูงสุด 11,500 บาท/เดือน (383 บาท/วัน) นาน 180 วัน รวม 69,000 บาท คลอดบุตร รับ 34,500 บาท/ครั้ง ทุพพลภาพ รับ 11,500 บาท/เดือน เสียชีวิต รับ 138,000 บาท ว่างงาน รับสูงสุด 11,500 บาท/เดือน
- สิทธิบำนาญชราภาพ ปรับเพิ่มเป็น
- ส่งสมทบ 15 ปี รับ 4,600 บาท/เดือน
- ส่งสมทบ 25 ปี รับ 8,050 บาท/เดือน
ผู้ประกันตนได้อะไรจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้?
การปฏิรูปในครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของ “การจ่ายเพิ่ม” เท่านั้น แต่ยังเป็นการ ยกระดับสิทธิประโยชน์ ให้เหมาะสมกับภาระที่ผู้ประกันตนจ่ายไป เช่น
- เงินบำนาญชราภาพที่สูงขึ้น เพราะคิดจากฐานเงินเดือนที่สูงขึ้น
- การคุ้มครองที่ครอบคลุมมากขึ้น เช่น การดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ทุพพลภาพ
- ระบบคัดกรองรายได้ที่แม่นยำขึ้น ป้องกันการเลี่ยงภาษีหรือการหลบเลี่ยงการสมทบ
นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความมั่นคงให้กองทุนในระยะยาว ป้องกันการขาดดุลของเงินกองทุนในอนาคต โดยเฉพาะในยุคที่ไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ
สิ่งที่นายจ้างและลูกจ้างควรเตรียมตัว
- ฝ่ายนายจ้าง ต้องเตรียมงบประมาณในการสมทบเงินให้ลูกจ้างที่มีรายได้สูงขึ้น
- ลูกจ้างและแรงงานอิสระ ควรทำความเข้าใจโครงสร้างใหม่และตรวจสอบสิทธิของตนเองเพื่อวางแผนการเงินระยะยาวได้ถูกต้อง
- ผู้ประกอบการขนาดเล็ก อาจได้รับผลกระทบน้อย แต่ควรศึกษาผลต่อภาระค่าใช้จ่ายประจำเดือน
สรุป: ปรับเพื่อความยั่งยืนในอนาคต
การเปลี่ยนแปลงสูตรเงินสมทบประกันสังคมเริ่มตั้งแต่ปี 2569 คือก้าวสำคัญของระบบสวัสดิการไทยที่เดินหน้าไปสู่ความเป็นธรรมและความยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งจะเป็นผลดีทั้งต่อผู้ประกันตนเองและระบบประกันสังคมโดยรวม
แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้บางกลุ่มต้องจ่ายเพิ่มขึ้น แต่ก็แลกมากับสิทธิประโยชน์ที่มากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นผู้ประกันตนทุกคนควรเร่งศึกษารายละเอียด และปรับแผนทางการเงินให้สอดคล้องกับระบบใหม่ เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง
อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับภาษี เพิ่มเติม คลิกที่นี่
Source : Inflow Accounting