สรุปข่าวต่างประเทศ ประจำวันพุธที่ 23 กรกฎาคม 2568
สรุปข่าวต่างประเทศ ประจำวันพุธที่ 23 กรกฎาคม 2568
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -23 ก.ค. 68 8:12: น.
*** สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) งวดส่งมอบเดือนส.ค. ปิดที่ 66.21 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 99 เซนต์ หรือ 1.47%
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนก.ย. ปิดที่ 69.21 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 62 เซนต์ หรือ 0.90%
ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงเป็นวันที่ 3 ติดต่อกันในวันอังคารที่ผ่านมา เนื่องจากความหวังที่จะบรรลุข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปเริ่มเลือนลาง ส่งผลให้เกิดความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในตลาดน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยนักวิเคราะห์จาก Ritterbusch and Associates บริษัทที่ปรึกษาด้านพลังงาน ระบุว่า ปัจจัยด้านภาษีกำลังเป็นจุดสนใจเพิ่มมากขึ้นก่อนถึงกำหนดเส้นตายของสหรัฐฯ
*** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศว่า สหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงทางการค้ากับญี่ปุ่นแล้ว พร้อมกล่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะนำไปสู่การที่ญี่ปุ่นลงทุนในสหรัฐฯ เป็นมูลค่าสูงถึง 550,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐและจะมีการเก็บภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) ในอัตรา 15% โดยทรัมป์ยังระบุว่า ญี่ปุ่นจะเปิดตลาดสำหรับการค้าในกลุ่มสินค้าสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ รถบรรทุก ข้าว และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรบางชนิด รวมถึงรายการอื่น ๆ
*** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีใหม่ 19% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากประเทศฟิลิปปินส์ หลังประธานาธิบดีเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส จูเนียร์ ของฟิลิปปินส์ เดินทางเยือนทำเนียบขาว ซึ่งทรัมป์เรียกว่าเป็นการเยือนที่ สวยงาม และกล่าวว่าสินค้าของสหรัฐฯ จะไม่ถูกเก็บภาษีเลย (Zero Tariffs) โดยอัตราภาษีใหม่ 19% นี้ ต่ำกว่าที่ทรัมป์เคยขู่ไว้ที่ 20% เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาเล็กน้อย แต่ก็ยังสูงกว่าอัตรา 17% ที่กำหนดไว้ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นช่วงที่ทรัมป์ประกาศอัตราภาษีตอบโต้กับหลายสิบประเทศ โดยอัตรา 19% นี้เท่ากับอัตราที่ประกาศใช้กับอินโดนีเซีย และดีกว่าอัตรา 20% ของเวียดนาม
*** อินโดนีเซีย ตกลงที่จะยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ กว่า 99% และจะยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้า ที่ไม่ใช่ภาษีทั้งหมดที่บริษัทอเมริกันต้องเผชิญ ขณะที่สหรัฐฯ จะลดมาตรการภาษีตอบโต้สำหรับสินค้าอินโดนีเซียจาก 32% เหลือ 19% โดยทั้ง 2 ประเทศประกาศข้อตกลงดังกล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวชื่นชมข้อตกลงนี้ ว่าเป็น ชัยชนะครั้งใหญ่สำหรับบริษัทผลิตรถยนต์ บริษัทเทคโนโลยี แรงงาน เกษตรกร ปศุสัตว์ และผู้ผลิตของเรา โดยทั้ง 2 ฝ่ายระบุว่า ผู้เจรจาของทั้ง 2 ประเทศจะสรุปข้อตกลงจริงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
*** นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า มีแนวโน้มสูงที่จะมีการขยายกำหนดเส้นตายทางการค้าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำหนดไว้กับจีน ในระหว่างการประชุมกับคณะผู้แทนจากจีนสัปดาห์หน้า
ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงระงับการเก็บภาษีนำเข้าส่วนใหญ่ระหว่างกันเป็นเวลา 90 วัน เมื่อกลางเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อให้การเจรจาทางการค้าดำเนินต่อไป ซึ่งการระงับดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันที่ 12 ส.ค.นี้ โดยเบสเซนต์ระบุว่า เราน่าจะกำลังดำเนินการขยายเวลาและผมคิดว่าการค้ากับจีนอยู่ในจุดที่ดีมาก
*** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ แถลงว่า อาจเดินทางเยือนประเทศจีนในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะเป็นการเดินทางครั้งสำคัญเพื่อคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้าและความมั่นคงที่คุกรุ่นระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจของโลก โดยทรัมป์กล่าวว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เชิญผมไปเยือนจีน และเราน่าจะเดินทางไปในอนาคตอันใกล้ อีกไม่นานเกินไปนัก และผมก็ได้รับการเชื้อเชิญจากหลายคน เราจะตัดสินใจเรื่องนี้ในไม่ช้านี้
คณะทำงานของทรัมป์และสี จิ้นผิง ได้หารือถึงความเป็นไปได้ในการจัดการประชุมระหว่างผู้นำทั้ง 2 ในระหว่างที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเดินทางเยือนเอเชียปลายปีนี้ แม้ยังไม่ได้รับการสรุป แต่การหารือได้รวมถึงความเป็นไปได้ที่ทรัมป์จะแวะเยือนในช่วงการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ที่เกาหลีใต้ หรือการหารือนอกรอบของการประชุมในวันที่ 30 ต.ค. - 1 พ.ย. และการเดินทางอีกครั้งที่เป็นไปได้คือพิธีเฉลิมฉลองครบรอบ 80 ปีการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในวันที่ 3 ก.ย. ที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียก็มีแผนจะเข้าร่วมด้วย
*** เอกสารเสนอซื้อหุ้น (Tender Offer) ล่าสุดของ SpaceX บริษัทด้านจรวดและดาวเทียมของอีลอน มัสก์ มีข้อความเตือนใหม่แก่นักลงทุนว่ามหาเศรษฐีผู้นี้ อาจยังไม่ยุติบทบาททางการเมืองเสียทีเดียว โดยก่อนหน้านี้ มัสก์เคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (Department of Government Efficiency - DOGE) และในอนาคตจะดำรงตำแหน่งที่คล้ายคลึงกันและใช้เวลาจำนวนมากให้กับบทบาทดังกล่าว โดยบริษัทได้เพิ่มข้อความที่ระบุ ปัจจัยเสี่ยง ดังกล่าว ในเอกสารที่ส่งถึงนักลงทุนเพื่อหารือเกี่ยวกับการทำธุรกรรม
*** นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ แสดงจุดยืนสนับสนุนนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องจากเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลทรัมป์ โดยระบุว่าเขาไม่เห็นเหตุผลใด ๆ ที่ประธานเฟดควรจะลาออกจากตำแหน่ง โดยเบสเซนต์กล่าวว่า ผมไม่เห็นว่า จะมีเหตุอะไรที่เขาควรจะก้าวลงจากตำแหน่งในตอนนี้ พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า วาระของเขาจะสิ้นสุดในเดือนพ.ค. ปีหน้า หากเขาต้องการจะทำหน้าที่ต่อไปจนครบวาระ ผมคิดว่าเขาก็ควรทำ และหากเขาต้องการลาออกก่อนกำหนด ผมก็คิดว่าเขาก็ควรทำได้เช่นกัน
*** รัฐบาลทรัมป์ กำลังขยายการค้นหาพันธมิตรเพื่อพัฒนาระบบป้องกันขีปนาวุธ Golden Dome โดยเริ่มทาบทามโครงการ Project Kuiper ของ Amazon.com และบรรดาผู้รับเหมาด้านกลาโหมรายใหญ่ ท่ามกลางความตึงเครียดกับอีลอน มัสก์ ที่อาจส่งผลกระทบต่อบทบาทสำคัญของ SpaceX ในโครงการนี้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ถือเป็นการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งสำคัญ โดยลดการพึ่งพา SpaceX ของอีลอน มัสก์ ซึ่งเครือข่ายดาวเทียม Starlink และ Starshield มีบทบาทสำคัญต่อการสื่อสารทางการทหารของสหรัฐฯ
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลาง ความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ลง ระหว่างทรัมป์และมัสก์ ซึ่งถึงจุดแตกหักอย่างเปิดเผยเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา
*** General Motors ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 โดยได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี (tariffs) เป็นมูลค่า 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงทำผลงานได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการจำหน่ายรถกระบะและ SUV ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินได้อย่างแข็งแกร่ง
ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ในด้านยอดขาย คาดการณ์ว่าผลกระทบจากภาษีจะรุนแรงขึ้นในไตรมาส 3 และยังคงประมาณการเดิมที่ระบุว่าปัจจัยท้าทายทางการค้าอาจส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิระหว่าง 4,000- 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีนี้ GM กล่าวว่าบริษัทอาจดำเนินการเพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าวได้อย่างน้อย 30%
รายได้ของบริษัทในไตรมาส 2 ลดลงเกือบ 2% มาอยู่ที่ประมาณ 47,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า กำไรสุทธิต่อหุ้นหลังปรับทวนแล้วในไตรมาส 2 ลดลงมาอยู่ที่ 2.53 ดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับ 3.06 ดอลลาร์สหรัฐในปีก่อน
*** ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ในรัฐแคลิฟอร์เนียร่วงลง 21.1% ในไตรมาส 2 ซึ่งถือเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 7 ในตลาดสำคัญของสหรัฐฯ โดยในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย.ที่ผ่านมา Tesla ซึ่งมีฐานอยู่ในรัฐเท็กซัส มียอดจดทะเบียนรถยนต์ในรัฐแคลิฟอร์เนียอยู่ที่ 41,138 คัน ลดลงจาก 52,119 คันในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2024
*** Baker Hughes ผู้ให้บริการด้านบริการบ่อน้ำมันรายใหญ่ รายงานผลกำไรไตรมาส 2 สูงกว่าการคาดการณ์ โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งสำหรับบริการก๊าซธรรมชาติ แม้ว่าจะมีการเตือนถึงการลดการใช้จ่ายของผู้ผลิตน้ำมัน โดยคำสั่งซื้อในธุรกิจบริการเทคโนโลยีก๊าซของ Baker Hughes เพิ่มขึ้น 28% ในไตรมาส 2 ส่งผลให้รายได้ในส่วน IET เพิ่มขึ้นเป็น 3,290 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม รายได้รวมลดลง 3% มาอยู่ที่ 6,910 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปีก่อนหน้า เนื่องจากกิจกรรมการขุดเจาะที่ชะลอตัวในตลาดสำคัญ ๆ ส่งผลกระทบต่อความต้องการอุปกรณ์และเทคโนโลยีบ่อน้ำมัน ขณะที่กำไรต่อหุ้นที่ปรับทวนแล้วอยู่ที่ 0.63 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับไตรมาส 2 เทียบกับการประมาณการของนักวิเคราะห์ที่ 0.56 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น
*** โคคา-โคลา รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 สูงกว่าการคาดการณ์ โดยได้แรงหนุนจากการขึ้นราคาสินค้า แม้ว่าปริมาณการขายจะลดลงในตลาดสำคัญบางแห่ง พร้อมประกาศเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์โค้กสูตรน้ำตาลอ้อยในสหรัฐฯ โดยการปรับขึ้นราคาสินค้าช่วยชดเชยปริมาณการขายที่ลดลง 1% หลังจากที่เคยเพิ่มขึ้น 2% ใน 2 ไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งการลดลงของปริมาณการขายส่วนใหญ่เกิดจากตลาดสำคัญ เช่น เม็กซิโกและอินเดีย รวมถึงผลิตภัณฑ์แบรนด์โคคา-โคลาในสหรัฐฯ
โคคา-โคลา รายงานรายได้ที่ปรับแล้ว เพิ่มขึ้นถึง 2.5% เป็น 12,620 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ที่ 12,540 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างมีนัยสำคัญ ในภาพรวม ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 6% โดยเฉพาะในตลาดที่มีภาวะเงินเฟ้อสูง โดย Coca-Cola Zero Sugar ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 14% จากการเติบโตในทุกภูมิภาค หากไม่รวมรายการพิเศษ บริษัทมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.87 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าการประมาณการที่ 0.83 ดอลลาร์สหรัฐ
รายงาน โดย สิริพงศ์ สิริชุมศรี เรียบเรียง โดย Supak Hopuengju
อีเมล์. supak@efinancethai.com
ดูข่าวต้นฉบับ