4 ครูเฮ! ไม่ถูกเลิกจ้างซ้ำได้สัญญาใหม่ ผอ.รับเคร่งระเบียบ-ท้อใจขอย้ายตัวเอง
จากกรณีชาวบ้านตำบลทับกฤช อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ กว่า 100 คน รวมตัวบริเวณหน้าโรงเรียนวัดทับกฤชกลาง เพื่อแสดงพลังคัดค้านการบริหารงานของ น.ส.ปรียาภัสสร์ เส็งเส ผู้อำนวยการโรงเรียน หลังมีคำสั่งเลิกจ้างครูอัตราจ้าง 4 รายกลางภาคเรียน โดยให้เหตุผลว่าโรงเรียนขาดงบประมาณ ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่ชอบธรรม เนื่องจากครูที่ถูกเลิกจ้างล้วนเป็นผู้มีผลงานและผูกพันกับชุมชน
ขณะที่ครูทั้ง 4 รายยังคงเดินทางมาสอนตามปกติท่ามกลางความวิตกกังวล และมีการยื่นร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครสวรรค์ โดยมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 ได้ลงพื้นที่ติดตามปัญหา พร้อมเตรียมหารือกับทุกฝ่ายเพื่อหาทางออก แต่ในขณะเดียวกัน ฝ่ายธุรการของโรงเรียน ยืนยันว่า งบประมาณจากสหกรณ์โรงเรียนที่ใช้ในการจ้างครูยังคงเพียงพอ และไม่เคยเกิดปัญหาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
เปิดใจ 4 ครูช็อกถูกเลิกจ้างกลางเทอม ผอ.แจงไม่ได้เลิกจ้าง แค่งบประมาณไม่พอ
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 68 ผู้สื่อข่าวได้เข้าพบ น.ส.ปรียาภัสสร์ เส็งเส ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดทับกฤชกลาง เพื่อสอบถามปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับงบประมาณที่จะนำมาใช้จ้างครูอัตราจ้างนั้น ซึ่งได้รับการเปิดเผยว่า ตนเองเป็นคนที่มีระเบียบเคร่งครัดในเรื่องของการทำถูกต้องตามกฏระเบียบของทางราชการ จึงอาจทำให้ชาวบ้านและกลุ่มครูหลายคนไม่ถูกใจ แต่ยืนยันว่า ชีวิตที่ผ่านมาตนเองไม่เคยด่างพร้อย กว่าจะก้าวขึ้นมาเป็น ผอ.โรงเรียน ก็เคยผ่านชีวิตการเป็นครูอัตราจ้างมานานถึง 8 ปี จนกระทั่งได้เป็นครู และไต่เต้าขึ้นมาเป็น ผอ.โรงเรียน โดยล่าสุด ก่อนที่จะเข้ามาอยู่โรงเรียนวัดทับกฤชกลาง เคยเป็น ผอ.โรงเรียนวัดพันลานมาก่อน และได้สร้างผลงานไว้มากมาย
เมื่อถามเข้าเรื่องประเด็นปัญหา น.ส.ปรียาภัสสร์ ยอมรับว่า เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้เพียงไม่กี่วัน อาจทำให้มีความเข้าใจคาดเคลื่อนในเรื่องรายรับรายจ่ายของโรงเรียน โดยเฉพาะเรื่องของเงินที่ใช้ในการจ้างครูอัตราจ้างทั้ง 4 ราย ซึ่งแต่เดิม โรงเรียนใช้งบสวัสดิการจากการขายอาหาร ขนม และเครื่องดื่มให้กับนักเรียน เอามาเป็นเงินค่ายใช้จ่ายจ้างครู แต่วันที่ตนได้เห็นบัญชีนั้น มันเหลืออยู่แค่ 3,071 บาท โดยที่ไม่รู้ว่า อาจารย์ผู้ที่รับผิดชอบในส่วนนี้ ยังไม่ได้นำเงินส่วนที่เหลือเข้าบัญชี เพราะต้องนำไปใช้ซื้อของมาขายให้กับนักเรียน จึงทำให้ตนเกิดความเข้าใจคาดเคลื่อนในส่วนนี้
“แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ขอยืนยันต้องตรวจตามกฎระเบียบอยู่ดี เพราะมองว่าเงินจากสวัสดิการส่วนนี้ มันคือเงินอนาคต และถือเป็นรายได้ที่ไม่แน่นอน เพราะปีนี้ นักเรียนมีอัตราน้อยกว่าปีก่อน บ่งชี้เท่ากับว่า อัตราของนักเรียนที่มีอยู่ประมาณ 500 เศษๆ ทำให้อัตราส่วนของครูของโรงเรียนเกินจำนวนของนักเรียนไป 2 คน” น.ส.ปรียาภัสสร์ ระบุ
น.ส.ปรียาภัสสร์ กล่าวต่อว่า เมื่อวานหลังจากที่ตนโดนประท้วง ตนก็ถูกเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพื้นที่การประถมศึกษาเขต 1 คณะกรรมการสถานศึกษา, ตำรวจ รวมถึงเจ้าอาวาสวัดในชุมชน เรียกประชุมหาชี้แจงทันที โดยบรรยากาศตอนหนึ่งในห้องประชุม ได้มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการของโรงเรียนยืนยันว่า ที่ผ่านมาเป็นสิบปี ทางโรงเรียนก็ใช้งบจากสวัสดิการขายของมาเป็นค่าจ้างให้กับครูอัตราจ้างตลอด จากเคยมีครูอัตราจ้าง 6 คน ลดลงมาเหลือ 4 คน แต่ก็ไม่เคยมีปัญหาในเรื่องงบประมาณ จึงทำให้ที่ประชุมลงมติเดิมที่จะใช้เงินสวัสดิการนี้ เป็นค่าจ้างครูอัตราจ้างต่อไป
น.ส.ปรียาภัสสร์ ยืนยันว่า ปัญหาอยู่ที่งบประมาณการนำมาจ้างจริงๆ ซึ่งเมื่อวานก็รู้สึกเครียดมาก ที่มาโดนประท้วงขับไล่จนเป็นข่าว ส่งผลทำให้วันนี้ แม่ของตนถึงกับล้มป่วย เพราะเห็นข่าวที่ปรากฏ จนตนรู้สึกเสียใจและท้อ รวมทั้งได้รับการข่มขู่ เกรงว่าจะไม่มีความปลอดภัย ซึ่งตนตัดสินใจแล้วว่า จะเตรียมทำเรื่องขอย้ายตนเองไปอยู่ที่อื่น หลังจากช่วงเดือนกันยายนที่จะถึงนี้
“ส่วนเรื่องกรณีที่ชาวบ้านเอาไปลือกันให้แซดว่า ตนเป็นญาติกับ ผอ.คนเก่า ที่โดนขับไล่กรณีค่าอาหารกลางวันเด็กนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะไม่เคยเป็นญาติ เพียงแค่รู้จักเพราะอยู่ในวงการเตียวกันเท่านั้น ส่วนอีกเรื่องว่ากล่าวหาว่า ตนจะเอาครูอัตราจ้างคนใหม่เข้ามา ก็ไม่เป็นความจริงเลย หลังจากนี้ ชาวบ้านสามารถตรวจสอบได้ หากทำเช่นนั้นจริง ก็คงไม่พ้นต้องโดนประท้วง ซึ่งตนยืนยันไม่มีคนสนิท ไม่มีเส้นสาย และจะไม่มีกรณีเช่นนั้นอย่างแน่นอน” ผอ.โรงเรียน กล่าว
อย่างไรก็ตาม ว่าที่ร้อยเอกด็อกเตอร์สาโรจน์ อนุสรณ์ ผอ.เขตพื้นที่การศึกษานครสวรรค์ เขต 1 ได้เดินทางมาร่วมประชุมเพื่อหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องเงินจ้างครูอัตราจ้าง ซึ่งในที่ประชุม ทางหัวหน้าธุระการของโรงเรียนยืนยันว่า เงินสวัสดิการที่ได้จากการค้าขายของให้นักเรียน มีเพียงพอ แม้ในอนาคตอาจจะมีปริมาณนักเรียนลดลง แต่ก็ยังพอที่จะจ้างครูได้อยู่ ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด จึงมีข่าวดีว่า ครูอัตราจ้างทั้ง 4 ราย จะได้รับการว่าจ้างให้ทำงานต่อ และได้รับการต่อสัญญา.