“เชน ธนา” โดนตราหน้าว่าโกง แบกหนี้ 800 ล้าน ชีวิตขึ้นสุดลงสุด ดีที่ไม่ตาย!
ถูกสนใจหนักมาก หลัง Life Line เปิดเส้นทางนักสู้“เชน ธนา” ที่เกือบทำให้ไม่รอด แบกหนี้ 800 ล้าน ชีวิตขึ้นสุด ลงสุด แต่ไม่ยอมแพ้ จากเด็กหัวการค้าสู่ศิลปินบอยแบนด์ และนักธุรกิจพันล้าน ที่เผชิญวิกฤติหนักครั้งแล้วครั้งเล่าจนเกือบจบชีวิต พร้อมบทเรียนชีวิตที่ว่า “ทุกครั้งที่ชีวิตติดลบ เขาเชื่อว่าจะมีบวกเสมอ”
เชน ธนา เผยว่า "จริงๆ ผมอยู่นครปฐม ริมแม่น้ำท่าจีน โตในครอบครัวอุตสาหกรรม โรงงานทอผ้า มี 3 โรงงาน รอบบ้านผม 17 ไร่ เราโตมากับพ่อจ่ายเงินเดือนพนักงานด้วยเงินสดยังไม่มีโอน เห็นพ่อนั่งดูตลาดหุ้น เราก็จะอยู่กับตัวเลข เห็นพ่อมีชีวิตดีครอบครัวดี เริ่มซึมซับเรื่องธุรกิจ ช่วงประถม 2 เขาเรียกผมว่า หัวการค้า เป็นช่วงที่ผมภูมิใจ อายุ 7-10 ขวบ เริ่มทำธุรกิจครั้งแรก หยิบจับอะไรก็เป็นเงิน เลี้ยงสัตว์เลี้ยงมีลูกเยอะเราก็ขายได้ เราได้เงินมา 4 หมื่น ให้แม่ ตัดสินใจไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยเงินของเราเอง ผมชอบขายของตั้งแต่เด็ก แต่มีจุดเปลี่ยนนิดหนึ่งคือตอน ม.5 ในช่วงที่เราล่าฝัน ผมไปเดินเซ็นทรัลปิ่นเกล้า มีแมวมองมายื่นนามบัตร บอกว่าเป็นแมวมองอยู่ RS ผมก็ไม่สนใจ ไม่คิดว่าจะมาร้องเพลง แต่ก็ให้เบอร์ ฝากประวัติไว้เฉย ๆ ไม่ได้สานต่อ จนมาสอบติดธรรมศาสตร์ เข้าสู่การเป็นเชียร์ลีดเดอร์ เป็นบันไดปูทางสู่วงการบันเทิง แต่ผมค่อนข้างเกเรพอสมควร จะลาออกหลายรอบ หลังจากเป็นลีดโต๊ะที่ธรรมศาสตร์ วันนั้นจำได้เลยครับ เปลี่ยนชีวิต คือใส่ชุดฮิปฮอปแล้วเต้น วันนั้นโต๊ะเราได้ที่ 3 ก็ร้องไห้เลย เพราะลีดธรรมศาสตร์สำคัญกว่าเรื่องเรียนมาก ความจริงจังของผมไปเตะตารุ่นพี่ที่วารสาร เขาเลยพาไปแนะนำกับ บก.นิตยสาร Knock Knock เราก็ได้ขึ้นปก หลังจากนั้น 1 เดือน ก็ได้มาลงปก เธอและฉัน ภายใน 2 เดือนชีวิตก็เปลี่ยน แล้วก็ได้ไปเจอโฟร์ เพื่อนรักที่สุดในวงการ โฟร์ก็ดันขึ้นมาเป็นพระเอก MV แล้วมันก็เป็นจังหวะชีวิตพลิกผัน Nice 2 meet you มี 5 คน ปั้นจั่น, แจ็ค, เต้ และน้องอีก 2 คน แต่น้อง 2 คนเหมือนมีปัญหาออกไปก่อน เหลือ 3 คน จังหวะที่พวกเขารวมวงกันมา 1 ปี ผมเข้ามาฝั่งละคร พอฝั่งละครเสร็จกำลังจะไปเล่นละคร ฝั่งค่ายเพลงมีที่ว่างอยู่ขาหนึ่ง เขาก็เลยจับผมไปเสียบ เพราะเคยเล่น MV มา กลายเป็น Nice 2 meet you มี 4 คน"
"ส่วนโมเมนต์ที่จดจำตอนอายุ 23-26 ปี เป็น Triple Shot เป็น Combo Set ที่วันนี้ถ้าผมมาเจอเหตุการณ์นั้นในอายุ 38 ผมอาจจะไม่รอด เพราะมันเป็นวัคซีนที่ดีมากและแรงที่สุดในชีวิตช่วงหนึ่ง เกิดความคิดเหมือนคนอ่อนแอในวินาทีนั้น คือบทสุดท้ายมีไอเดียที่อยากตายขึ้นมาวันนั้น จุดเริ่มต้นคือ วงแตกก่อน เริ่มรู้สึกไม่มั่นคงทางการเงิน เพราะต้องจ่ายค่าเทอมเอง ตอนนั้นก็เริ่มซื้อบ้านให้แม่แล้ว ผ่อนบ้านเดือนละ 3-4 พัน มีปัญหาเรื่องเงินเลยไปลงทุนทำธุรกิจในช่วง 2-3 ปีนั้น ทำธุรกิจแรกคือมอเตอร์ไซค์ เปิดร้าน Gift Shop ปีแรกดี มีกำไรเหลือ 20,000 บาทต่อเดือน จ่ายค่าเทอมได้ ไม่รบกวนที่บ้าน แต่มีสถานการณ์ทางการเมืองปิดแถวพารากอน แต่ตอนนั้นยังไม่เจ๊ง ก็ถอนกำไรออกมา หยุดสัญญาเช่า ไปเปิดร้านเสื้อผ้าที่ประตูน้ำต่อ 7 เดือนแรกดีเลยครับ เหลือประมาณ 1 ล้านบาทต่อเดือน หักทุนหมดแล้ว แต่เครดิตโรงงานมี 5 ล้านบาทคอยหมุน ซึ่งเราไม่ได้นับเป็นทุน เพราะเป็นเด็ก ก็เอาเงิน 1 ล้านมาใช้จ่ายไปเรื่อยๆ อายุ 22 ก็มีเงินเดือนละ 1 ล้านบาท ช่วงนั้นวงเริ่มใกล้จะแตก ไม่ได้เครียดเรื่องเงิน แต่สถานการณ์ทางการเมืองปิดราชประสงค์ แล้วร้านเราอยู่ประตูน้ำก็เรียบร้อย คราวนี้เงิน 5 ล้านนั้นเลยเต็มวงเงิน กลายเป็นหนี้ขึ้นมา ซึ่งเป็นหนี้ก้อนใหญ่ก้อนแรกในชีวิต แล้วแม่เจอเนื้องอกตรงก้านสมอง ตอนแรกก็สู้ พยายามประคองวงกับสมาชิกใหม่ได้ประมาณปีนิดๆ ก็วงแตกอีกรอบ แตกแบบถาวร ใช้หนี้ไม่หมดสักที ก็เริ่มยืมเพื่อน มองหาวิธีอื่นซึ่งมันไม่มี"
"วงแตกก็ไม่มีงาน งานเดี่ยวก็ดังไม่พอ พิธีกรก็งานละ 2,500 ไม่รู้จะใช้หนี้ 5 ล้านยังไง เริ่มมืดแปดด้าน ก็เริ่มติดเหล้า ติดเบียร์ ดูดบุหรี่ ไม่มีทางออก เป็นช่วง 3 เดือนที่แย่ที่สุดในชีวิต จุดต่ำที่สุด คืออันนี้ผมว่าเป็นอุทาหรณ์นะ ถ้าผมไม่ได้มีเรื่องพุทธศาสนาอยู่ในใจ ผมอาจจะเป็นข่าวไปแล้ว วันนั้นผมมีการแก้ปัญหาอย่างหนึ่งว่าการใช้หนี้ได้ ผมต้องออกเดี่ยวเท่านั้น จะจัดสรรตารางคิวงานเองได้ แล้วเรียกค่าตัว 10,000-15,000 บาท ถ้าค่าตัว 15,000 หางานแค่ 30-40 งานก็ครึ่งล้านแล้ว แสดงว่ามีลุ้นประมาณครึ่งปีก็คงจบ ก็มีความหวังขึ้นมา แต่ก็มีคำพูดดูถูกว่าทำไม่ได้ ไปไม่รอด จิตใจไม่พร้อมรับคำอะไร ยุค Gen Y ผมมันไม่ได้แข็งแรงเหมือนคุณ เข้าสู่ช่วง 3 วันอันตรายที่สุดในชีวิตผม คือช่วงที่ขับรถแล้วเริ่มเหยียบ 190 กม./ชม. ไม่กลัว เริ่มไม่กลัว แต่ไม่อยากตายด้วยการฆ่าตัวตาย อยากตายด้วยการมีรถแฉลบมา เริ่มนั่งเครื่องบินก็อยากให้เครื่องบินตก โดยไม่ได้คิดถึงหัวใจคนอื่น มีความท้อแท้ในชีวิตขึ้นมา แล้วก็กินเหล้าทุกคืน จำได้เลยว่าวันสุดท้ายก่อนที่จะคิดได้ คือตอนขึ้นคอนเสิร์ตท้ายๆ ของ 7 สีคอนเสิร์ตที่เป็นวง และก็อ้วกอยู่หลังเวที ก็พร้อมไปตลอดตอนนั้น
เชน เล่าต่อว่า "ถามว่าออกจากภาวะอย่างนั้นมาได้อย่างไร คือมีเรื่องของจิตที่นิ่งถึงจุดหนึ่ง และอาจจะเป็นข้อมูลเชิงบวกที่เป็นยารักษาที่ดีจริงๆ เหมือนพ่อแม่เราก็ยังอยู่ และมีคนบอกว่าอย่างเชนน่ะค่าตัว 15,000 เป็นไปได้นะ แค่ไม่ต้องออกเดี่ยวก็ได้ คือไปรับจ๊อบอะไรก็ได้ มันเลยมีความหวังขึ้นมา แล้วก็เริ่ม generate สมองว่า 5 ล้าน เรามองให้มันเป็นเล็กๆ ลง แต่ใช้ระยะเวลานานขึ้น มันเลยมีไอเดียขึ้นมา หลังจากที่คิดอ่อนแอ ก็เลยซื้อพวงมาลัยไปล้างเท้าพ่อแม่ที่บ้านเกิด แล้วกลับมาแก้ไขปัญหา วันนั้นผมหนักมากเลยนะ แต่ตอนนี้ผมกลับเล่าเรื่องนี้ได้โดยที่ไม่สะเทือนขนาดนั้น เป็นอุทาหรณ์ ผมว่าเรื่องนี้สำคัญ คือบางทีเราคิดว่าเราเก่ง คำพูดเราดี แต่คำพูดมันฆ่าคนได้ หลังจากนั้นผมขอนัดเลขาฯ ส่วนตัวของเฮียฮ้อ (เจ้าของ RS) เพื่อคุยตรงๆ ออกเทปเดี่ยว ซึ่งเฮียก็บอกว่า "ให้เวลาเชน 3 เดือน ไปฝึกซ้อมมา แล้วจะให้ออกเดี่ยว" ผมเลยเปลี่ยนทีมติวทันที เพราะทีมเดิมไม่มั่นใจว่าผมจะไหว จากนั้นก็ได้พี่แหม่ม พัชริดา มาช่วย เป็นเหมือนแม่ในวันนั้นเลยครับ พอได้เริ่มออกเดี่ยว ชีวิตผมก็ค่อยๆ คลี่คลาย การออกเดี่ยวแค่เดือนเดียว รายได้เท่ากับทำวงทั้งปีเลยจริงๆ จากตรงนั้น ผมเริ่มวางแผนเรื่องการเงินได้ดีขึ้น ตอนแรกก็รับงานหมดทุกอย่าง อย่างลอยกระทง ผมรับถึง 3 งานในวันเดียว บ้างานมาก จนหนี้ 5 ล้านก็ค่อยๆ ลดลง ส่วนช่วงอายุ 25-26 ปี เป็นช่วงที่ผมตั้งใจสุดๆ มุ่งมั่นมาก ทุกอย่างเริ่มจัดระเบียบได้ ผมตั้งเป้าว่าในอีก 2 ปี จะเคลียร์ทุกอย่างให้จบ เลยไปสมัครงานประจำด้วย ตอนนั้นเริ่มคิดจริงจังแล้วว่า ปัจจัย 4 ของชีวิตเราคือต้องใช้ประมาณเดือนละ 100,000 เพราะผ่อนบ้านให้แม่ด้วย ทำงานประจำวุฒิศักดิ์คลินิก ช่วงนั้นวุฒิศักดิ์ให้เข้างานแค่ 4-7 วันต่อเดือน ที่เหลือผมทำออนไลน์เต็มที่ เป็น Top 3 ของ High Five ติด Mention อันดับ 1 บน Twitter อย่างน้อยอาทิตย์ละวัน อยู่วุฒิศักดิ์เราโตเร็วมาก จบด้วยการเป็นผู้บริหารและยังเป็นศิลปินเดี่ยวควบคู่กัน เราเจอแฟน ซึ่งก็คือภรรยาของผมในตอนนี้ เราใช้ชีวิตด้วยกันมา 10 กว่าปีแล้ว ตอนนั้นเริ่มต้นจากเงินเดือนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็มีบริษัทมาติดต่อซื้อตัวไป สุดท้ายวุฒิศักดิ์ซื้อตัวผมกลับด้วยเงินเดือน 120,000 บาท ด้วยตำแหน่งหน้าที่ ผมมีงบสนับสนุนโปรเจกต์ต่างๆ ก็เลยได้เป็นสปอนเซอร์เวทีนางงาม แล้วปีนั้นก็เป็นปีแรกของมิสแกรนด์ แล้วผมก็ได้เจอภรรยาผมจากเวทีนั้นด้วย"
"ชีวิตผมขับเคลื่อนด้วยความรักนะครับ จุดอ่อนของผมก็คือเรื่องความรัก ต่อให้เก่งแค่ไหน ถ้าความรักสะดุด ทุกอย่างก็พังหมด พอเจอคนนี้ ผมแค่รู้สึกว่าเขาเป็นพื้นที่ปลอดภัยของผมจริงๆ อยู่ด้วยแล้วสบายใจ หายใจแล้วโล่ง ไม่รู้สึกว่าผมต้องเป็นคนผิด เราเรียนรู้กันอยู่ครึ่งปี ตอนนั้นอยู่บ้านเดียวกันด้วย เขาเป็นเด็กต่างจังหวัดที่ใช้ชีวิตแบบ Slow Life ซึ่งมันต่างจากผมมาก ชีวิตผมวิ่งมาราธอนมาตลอด แล้วพอเจอเขา มันเหมือนได้หยุด ได้กลับมาเป็นตัวเอง ดีที่ไม่ตาย เพราะถ้าตายตอนนั้นไป มันก็เหมือนแก้ปัญหาทุกอย่างได้ แต่มันไม่ใช่ มันเป็นแค่ช่วงหนึ่งของวัยรุ่น ที่อารมณ์พาไป เหมือนตอนอกหักแล้วอยากเปิดฝักบัวราดหัวเฉยๆ พอมองกลับไปตอนนี้ ผมอยากกลับไปตีหัวตัวเองเลย หลังจากอายุ 26 ปี ผมได้เจอกับภรรยา ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีสัญชาตญาณของการเป็นหัวหน้าครอบครัวอย่างเต็มตัว พอเข้าอายุ 27-31 หลายคนน่าจะจำภาพลักษณ์ของ “เชน ธนา Amado” ได้ดี แปลว่า ‘สุดที่รัก’ เป็นช่วงที่ทำยอดขายได้ 100 ล้านแรก ตอนนั้นผมเพิ่งปลดหนี้ได้เกือบหมด แต่ยังไม่มีเงินก้อนพอจะเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ยังไม่พร้อมมีครอบครัว เพราะรายได้หลักแสนต่อเดือน ยังไม่พอจะผ่อนบ้านให้แม่ แม่ก็กำลังรักษาอาการเกี่ยวกับสมอง ต้องตรวจ MRI ตลอดเวลา ถ้าจะผ่าตัดก็เป็นล้าน พอเจอภรรยา ผมเลยประเมินว่า ต้องมีรายได้เดือนละอย่างน้อย 300,000 บาท ถึงจะพร้อมดูแลครอบครัวได้จริงๆ เลยคิดว่าคงต้องลาออกจากวุฒิศักดิ์คลินิก แล้วเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง ตอนนั้นผมเริ่มเห็นเทรนด์ Health & Beauty ทั่วโลก เป็นเทรนด์ที่โตเร็วมาก ผมเลยเอาความรู้แบบครูพักลักจำจากการทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศ ที่เคยร่วมงานกับแบรนด์น้ำดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ ได้เห็นโครงสร้างธุรกิจของยี่ปั๊ว ซาปั๊ว และ Traditional Trade ไปขอเงินลงทุนจากนายทุน
ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครพูดถึงคำว่า “Startup” อย่างจริงจังเลย ผมแค่รู้ว่า ถ้าอยากได้เงินลงทุน ก็ไปขอ แล้วถ้าเขาให้ ก็แบ่งหุ้นกัน ไอเดียของผมตอนนั้นคือ เปลี่ยนบ้านธรรมดาปากซอย ให้กลายเป็นศูนย์กระจายสินค้า เวลามีออร์เดอร์จากออนไลน์ ก็ให้ขนของจากบ้านไปส่งไปรษณีย์ไทย ผมเอาแผนนี้ไปเสนอใครต่อใครก็ไม่มีใครเอา ทุกคนมองว่าบ้าไปแล้ว จนสุดท้ายมาเจอเจ้านายผมเอง ซึ่งกลายเป็นหมากตัวสุดท้ายที่ให้เงินลงทุน 5 ล้านบาท นั่นคือจุดเริ่มต้นของธุรกิจเสริมอาหารสไตล์ Startup ยุคนั้น ในปี 2557 ผมเริ่มต้นจากทุน 5 ล้านบาท จนทำยอดขายได้ 200 ล้านบาทในปี 2560 ภายในเวลาแค่ 3 ปี หลังจากนั้น ผู้ถือหุ้นก็เริ่มมีแผนจะนำบริษัทเข้า IPO มีการเพิ่มทุนและปรับโครงสร้างหุ้นครั้งใหญ่ ผมเองถือหุ้นลดลงจาก 100% เหลือ 38% ส่วนอีกฝ่ายถือ 62% ช่วงนั้นแม่ก็ต้องเข้าสู่การรักษาครั้งใหญ่พอดี ยังไม่ถึงขั้นติดลบ แค่มีค่าใช้จ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้น ชีวิตผมก็เปลี่ยนครั้งใหญ่อีกครั้ง เราแต่งงานกัน และซื้อบ้าน ซื้อรถ และขยายขนาดชีวิตในช่วงนั้น ปี 2561 เกิดวิกฤติครั้งใหญ่ในวงการอาหารเสริม เพราะมีกรณีที่มีผู้เสียชีวิตหลังจากรับประทานผลิตภัณฑ์แบรนด์หนึ่ง ทำให้กลายเป็นเหมือนคลื่นสึนามิถล่มอุตสาหกรรมทั้งหมด ผมเสียดายมากนะ ถ้าไม่มีเหตุการณ์นั้น ประเทศไทยอาจจะเป็นศูนย์กลางของอาหารเสริมโลกได้"
เชน ธนา : ตอนแรกยังไม่กระทบเรา แต่แบรนด์ใหญ่ๆ เริ่มหนีไปผลิตในต่างประเทศ เช่น เกาหลี เพราะกลัวการตรวจสอบในไทย ส่วนเราโดนทีหลัง เริ่มจากเพจชื่อดังเพจหนึ่งที่มีอิทธิพลมาก เขาชี้เป้าแบรนด์ต่างๆ ว่าผิดกฎหมาย บางแบรนด์โดนตรวจสอบ บางแบรนด์ถึงขั้นถูกกล่าวหาว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ แล้วก็โดนกันทีละแบรนด์ จนวันหนึ่งมันมาถึง Amado เรื่อง "สลากอาหารผิด" จริงๆ แล้วเป็นแค่การพิมพ์เลขที่โรงงานผิดจาก 119/11 เป็น 191/11 ซึ่งตามกฎหมายถือว่าผิด แต่ไม่มีผลต่อความปลอดภัยของสินค้าเลย แค่เปลี่ยนเลข แต่คนเข้าใจว่าเราผลิตผิดกฎหมาย ตอนนั้นภรรยาผมกำลังตั้งครรภ์ลูกชายคนแรก ประมาณเดือนครึ่ง อยู่ดีๆ ก็มี Inbox ด่าเข้ามาเป็นหมื่นข้อความ ทำให้ภรรยาเครียดจนเลือดออก ต้องโทรฯ หาหมอด่วน วันนั้นผมนั่งตอบคอมเมนต์ทีละข้อความทั้งคืน บอกทุกคนว่า “ใจเย็นครับ เดี๋ยวผมชี้แจง” ผมจะฟ้องทุกคนที่หมิ่นประมาทเกินไป สุดท้ายเขาก็ขอโทษ จุดเปลี่ยนคือ 5 โมงเย็นวันนั้น เข้าไปในห้องหมอพาภรรยาเข้าไป หมอก็ตรวจอัลตราซาวด์ ได้ยินเสียงหัวใจลูกเต้นครั้งแรกในชีวิต ตั้งแต่วินาทีนั้นจนวันนี้ ปี 68 ผมก็ไม่ได้พักเลย ยังสู้เพื่อครอบครัวมาตลอด
ตอนอายุ 33 ปี เป็นช่วงที่เราได้ผู้ถือหุ้นกลุ่มที่ 3 เข้ามาช่วยกู้วิกฤติ ตอนนั้นเราขาดทุนสะสมประมาณ 70 ล้านบาท แต่ยังมีผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่งคือ คอลลาเจน ที่ยังขายดี ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนแปลงบริษัทให้กลายเป็นบริษัทคอลลาเจน เขาให้เงินลงทุนและปล่อยกู้มา 100 ล้านบาท ทำให้เรามีเงินใช้หนี้ และเริ่มฟื้นตัวจากยอดขาย 200 ล้าน กลายเป็น 600 ล้าน และในปี 63 เราทะลุพันล้าน เรามองไม่เห็นปัญหา ถึงแม้ยอดขายจะพุ่ง แต่ระบบเริ่มไม่ไหว ผมเริ่มเห็นว่าแบรนด์เติบโตเร็วเกินควบคุม และจากนั้นก็เข้าสู่ช่วงที่ผมให้ติดลบ ปลายปีที่แล้ว ตลอดชีวิตในวงการบันเทิง 16 ปี ผมถือว่าผมไม่มีข่าวฉาวเลย อาจจะมีเรื่องความรักบ้าง แต่ไม่เคยฉาว ไม่เคยหลายใจ ไม่เคยคบซ้อน พอมาทำธุรกิจ เราตั้งใจใส่ทั้งชีวิตเข้าไปจริงๆ คือรักแบรนด์ยิ่งกว่าชีวิต รักแบรนด์เหมือนลูกคนหนึ่ง ข้อมูลจากสังคมที่มาจากไหนก็ไม่รู้ และมีคนที่แต่งแต้มสีสันจนเกินความเหมาะสม และร้องไห้หน้ากองปราบฯ ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 ปี 64 ผมถือหุ้น Amado 9% แต่ผมใช้วิธีที่รักแบรนด์นี้มาก แล้วไล่ซื้อหุ้นขึ้นมา จนวันนี้ผมแทบจะเป็นเจ้าของคนเดียว 100% แบกบริษัทที่รับมรดกหนี้ 800 ล้านบาทมาด้วย แก้ปัญหามาตั้งแต่ปี 65-66 การแก้ปัญหานี้ ผมสู้มาด้วยความซื่อสัตย์ว่าเรามีหน้าที่ที่ต้องใช้หนี้ให้บริษัท ในฐานะ CEO ณ วันนั้นเสียงในบริษัทมีหลายทิศทาง พยายามอ้างว่าผมไม่ใส่ใจเรื่องการเงิน ผมถูกกล่าวหาซ้ำจากเรื่องเก่าๆ ทั้งที่คดีถูกยกฟ้องแล้ว เขากล่าวหาว่าผมฉ้อโกง ผมได้หมายศาลมาแปะหน้าบ้านในวันตรุษจีนปี 66 คนจีนถือมาก ชีวิตมันหมดสิ้นซึ่งศักดิ์ศรี และรู้สึกแววตาเริ่มไม่มีน้ำหล่อเลี้ยง เพราะต้องเริ่มเข้าคอกบัลลังก์ ต้องต่อสู้พูดความจริง แต่บางทีการสื่อสารเราก็ได้ยินเรื่องไม่จริง เราก็โกรธ มันเหมือนเป็นจุดบ่มเพาะชีวิตเราว่า นี่แหละโลกแห่งความจริง ผมเครียดจนผมเดินไม่ได้เลย ลุกออกมาคือขาชา เดินไม่ได้อยู่ 7 วัน เพราะมันเหมือนซ้อมตาย เหมือนซ้อมเสียศักดิ์ศรี ต้องมาบอกศาลว่าผมไม่ได้โกง ผมทำอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งผลสุดท้าย ศาลยกฟ้องฉ้อโกงผม ผมบริสุทธิ์
"สิ่งที่เรียนรู้จากเรื่องนี้คืออะไร สักวันมันจะผ่านไป ห้ามตาย ห้ามป่วย ห้ามเสียงหมดก่อน เพราะผมคิดว่าสิ่งที่ผมบำเพ็ญเพียรมาตลอด 10 ปีที่ก่อตั้งบริษัท ผมตั้งใจมันอย่างดีเยี่ยมสุดชีวิตจริงๆ ผมคิดว่าทุกคนต้องเห็นค่าบ้าง เพราะเรามีเจตนาที่ดี และอยู่ด้วยจิตตั้งมั่นว่าเราขายของดีจริงๆ ผมจะชั่วก็ได้ ผมจะใส่ของไม่ดีแล้วขายแพงก็ได้ แต่เราเลือกที่จะเดินในทางที่มันยากที่สุด มีจรรยาบรรณสูงสุด และวันนี้สิ่งที่มันทำมาตลอด 10 ปี ผมว่ามันเริ่มเป็นกระจกสะท้อนว่า นี่แหละมันทำให้เราไม่ตาย อายุ 37 ปี มีหนี้ 800 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นทิ้งไปหมด คู่ค้าเหลือไม่กี่ราย มันหนักเกินไป โลกทั้งใบของ Amado เหลือแค่ผมกับไม่กี่คนที่ยังเชื่อมั่น แต่โชคดีที่คนที่ยังอยู่ เขาเข้าใจว่าเราตั้งใจจริงๆ มันอาจจะทำให้เรารอดจากวิกฤติครั้งนี้ได้"