จาก “สีกากอล์ฟ-พระ” - “บิ๊กเต่า” ฟาดตรง “สำนักพุทธฯ” หมกเม็ดเรื่องร้องเรียน-ช่วยเหลือ“อลัชชี” ** “ภูมิใจไทย -เพื่อไทย” สาวไส้เน่า คนไทยตาสว่าง!
ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ จาก “สีกากอล์ฟ-พระ” - “บิ๊กเต่า” ฟาดตรง “สำนักพุทธฯ” หมกเม็ดเรื่องร้องเรียน-ช่วยเหลือ“อลัชชี”
เรามาถึงจุดนี้กันแล้ว…ใครจะไปคาดคิดว่า เรื่องของพระสงฆ์ประพฤติชั่ว-ผิดพระธรรมวินัย ยิ่งกรณี “สีกากอล์ฟ” กับ “พระผู้ใหญ่” ที่สะเทือนฟ้าสะท้านดิน จนทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาวงการสงฆ์ คนที่ต้องมาแบกรับภาระกู้วิกฤตศรัทธา จะกลายมาเป็นหน้าที่ของตำรวจ
ลองคิดดูว่า "ศูนย์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและส่งเสริมพระธรรมวินัย" เปิดมาแค่ 2 วันแรก (14-15 ก.ค. 68) ชาวบ้านแจ้งเบาะแสแล้ว 26 เรื่อง !
ใน 26 เรื่องที่มีคนแจ้งเข้ามา แบ่งเป็น ช่องทาง Inbox เพจตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) 8 กรณี และ ช่องทางโทรศัพท์ มีประชาชนแจ้งเบาะแสเข้ามา 18 กรณี
งานนี้ “บิ๊กเต่า” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก.ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาฯ ได้เรียกประชุมคณะทำงาน เพื่อกำหนดทิศทางและกรอบการทำงานในการปราบปรามการทุจริตในวงการสงฆ์ พร้อมเน้นย้ำให้ดำเนินการด้วยความโปร่งใส และเป็นธรรม ตั้งแต่ช่องทางในการรับแจ้งเบาะแส ไปจนถึงการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงจากข้อมูลที่ประชาชนส่งเข้ามา
“พล.ต.ต.จรูญเกียรติ” ได้เน้นย้ำกับคณะทำงานว่า การดำเนินการทุกขั้นตอนต้องเป็นไปตามกรอบของกฎหมาย ต้องไม่มีการกลั่นแกล้งใคร
ศูนย์ฯดังกล่าวเพิ่งจัดตั้งขึ้น เพื่อรับเรื่องร้องเรียนกรณีพระสงฆ์กระทำผิดพระธรรมวินัย โดยมีทั้งหมายเลขโทรศัพท์และเพจเฟซบุ๊กสำหรับรับเรื่องร้องเรียน ซึ่งปัจจุบันมีข้อมูลร้องเรียนเข้ามาเป็นจำนวนมาก และ ในอนาคต จะมีการขยายคู่สายเป็น 10 สาย เพื่อรองรับการแจ้งข้อมูลได้เพิ่มขึ้น
เรียกว่า ชาวบ้านร้องเรียนกันเข้ามาสายไหม้เลยทีเดียว! หรือ พูดง่ายๆ ว่า มีกรณีพระสงฆ์ที่ทำตัวไม่เหมาะสมและส่อไปในทางที่ไม่ดีมากมายจริงๆ
ทั้งนี้ ภารกิจหลักของศูนย์ฯ คือการเป็นศูนย์กลางในการรับแจ้งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดวินัยสงฆ์ การทุจริตของสงฆ์ รวมถึงข้อมูลอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการธำรงไว้ซึ่งพระธรรมวินัย แม้จะยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่า จะมีการจัดตั้งศูนย์ถาวรหรือไม่ แต่เชื่อว่า การดำเนินการนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในวงการสงฆ์อย่างจริงจัง
คำถาม คือ บทบาทนี้ควรจะเป็นการทำหน้าที่ของ “สำนักพุทธฯ” มิใช่หรือ!
สำนักพุทธฯ หรือ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี เป็นหน่วยงานที่ไม่สังกัดกระทรวง ทบวงใด จัดตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2545
ตั้งแต่สำนักพุทธฯ จัดตั้งมาก็หลายปีดีดัก ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่หรือไม่ อย่างไร? ล้วนแต่เป็นคำถาม
ต่อเมื่อเกิดปรากฏการณ์ “พระเสื่อม”จากกรณี “สีกากอล์ฟ-พระชั้นผู้ใหญ่วัดดัง” หรือข่าวครึกโครมก่อนหน้า กรณี “ทิดแย้ม” วัดไร่ขิง มันสะท้อนว่า สำนักพุทธฯ เหมือนไม่มีตัวตน
“บิ๊กเต่า” เป็นคนที่คอนเฟิร์มเรื่องนี้ โดยระบุว่า ที่ผ่านมาการทำงานของตำรวจร่วมกับสำนักพุทธฯ มักจะไม่ราบรื่น มีความล่าช้า เนื่องจากสำนักพุทธฯ มีแนวโน้มที่อาจจะปกปิดปัญหา ขาดความเข้มงวดกวดขัน จึงทำให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย จำเป็นต้องบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง
เห็นได้จาก ข้อมูลที่ตำรวจส่งให้สำนักพุทธฯ เกี่ยวกับความไม่เหมาะสมของพระสงฆ์ มักจะไม่ได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง ทำให้ตำรวจมองว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำงานร่วมกันได้ หากปราศจากความจริงใจในการทำงาน โดยเชื่อว่าการเข้ามาของตำรวจ และหน่วยงานภายนอก จะสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากไม่อยากปล่อยไว้ให้กลายเป็นมะเร็งร้าย จนทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อม
“พล.ต.ต.จรูญเกียรติ” กล่าวอีกว่าในส่วนของอำนาจหน้าที่ ตำรวจทำงานเพื่อความมั่นคงของประเทศชาติและสถาบันพระพุทธศาสนา แต่ไม่มีอำนาจในการไล่พระให้สึก โดยจะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลและส่งต่อให้สำนักพุทธฯ พิจารณาเป็นรายบุคคล ซึ่งการตัดสินใจขั้นสุดท้ายขึ้นอยู่กับสำนักพุทธฯ
อีกทั้งยังขอความร่วมมือ ให้สำนักพุทธฯ รวบรวมข้อมูลเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก ของพระสงฆ์กว่า 3 แสนรูปเพื่อนำมาตรวจสอบประวัติ ว่าเคยมีการกระทำความผิดหรือไม่ ส่วนกรณีที่มีคนของสำนักพุทธฯ เข้าไปเป็นมัคนายกวัด และ ส่วนช่วยเหลือพระที่ประพฤติไม่เหมาะสม ระบุว่า ตำรวจจะนำเข้าหารือในที่ประชุมเพื่อรายงานให้ผู้ใหญ่ในสำนักพุทธฯรับทราบและแก้ไขปัญหา
หลังจากนี้ ตำรวจจะรื้อคดีที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ที่เคยถูกสำนักพุทธฯ ถูกปัดตกไป และกองซุกอยู่ใต้โต๊ะ ขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่ทั้งหมด!
แว่วว่า บางคดีจะมี "พระชั้นผู้ใหญ่" เปิดมาให้ชาวบ้านอึ้งตะลึงตึงตึง กันอีกละ
บอกได้เลยว่า งานนี้ตัวใครตัวมันละ อลัชชีทั้งหลาย!
++ “ภูมิใจไทย -เพื่อไทย” สาวไส้เน่า คนไทยตาสว่าง!
จังหวะที่พรรคภูมิใจไทย เพิ่งถอนตัวจากรัฐบาลไปเป็นฝ่ายค้าน ก็มีการเลือกตั้งซ่อม สส.ศรีสะเกษ ขึ้นมาพอดี
เนื่องจาก “อมรเทพ สมหมาย” ส.ส.ศรีสะเกษ เขต 5 เพื่อไทย เสียชีวิตกะทันหัน เมื่อ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา จากโรคประจำตัว จึงต้องจัดให้มีการเลือกตั้งซ่อม หย่อนบัตรกันในวันที่ 10 ส.ค.นี้
คู่ชิง คือ “น.ส.ภูริกา สมหมาย” บุตรสาวของ “อมรเทพ” ที่เสียชีวิต ลงรักษาพื้นที่ในนามพรรคเพื่อไทย สู้กับ “จินณ์ตวรรณ ไตรสรณกุล” ลูกสาว “ธีระ ไตรสรณกุล” อดีต ส.ส.ศรีสะเกษ เขต 5
“ธีระ”เป็นพี่ชายของ “วิชิต ไตรสรณกุล” นายกอบจ ศรีสะเกษ ที่เพิ่งเฆี่ยน “วิวัฒน์ชัย โหตระไวศยะ” ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ลงไปช่วยหาเสียงแบบขาดลอย ห่างกันกว่าแสนคะแนน
“จินณ์ตวรรณ” จึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ “กวาง” ไตรศุลี ไตรสรณกุล นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย อดีตเลขานุการ รมว.มหาดไทย
ศึกครั้งนี้เรียกได้ว่า เป็น “ศึกล้างตา” ระหว่าง “ทักษิณ ชินวัตร”กับ“อนุทิน ชาญวีรกูล” ที่สำคัญคือ 1 ที่นั่งนี้ มีความหมายกับทั้งสองพรรค เพราะรัฐบาลเพื่อไทยกำลังอยู่ในสภาพ “เสียงปริ่มน้ำ” ย้อมต้องการเสียงเพิ่ม ขณะที่“ภูมิใจไทย” ที่ตอนนี้มี 69 เสียง ก็ลุ้นเสียงที่ 70 เผื่อจับพลัดจับผลู มีการจับขั้วตั้งรัฐบาลใหม่ ก็ควรจะตุนเสียงเอาไว้ให้มากที่สุด
อีกทั้ง “ภูริกา” และ “จินณ์ตวรรณ” ต่างก็มีดีกรีเป็นลูกสาวอดีตส.ส. ด้วยกันทั้งคู่ การหาเสียงจึงดุเดือดตั้งแต่ออกสตาร์ท โดยเฉพาะเมื่อ “อนุทิน ชาญวีรกูล” เล่นทั้งบทฝ่ายค้าน ฝ่ายแค้น ลงพื้นที่ไปช่วยหาเสียง
“อนุทิน” ถามคนที่มาฟังปราศรัย แซะเข่าใส่ “นายกฯอิ๊งค์” ทันที ว่า… อยู่ดีมีแฮงบ่ มีกินมีใช้บ่ มีเกียรติมีศักดิ์ศรีบ่ คนที่เคยให้สัญญากับเราว่าถ้าเลือกเขา จะมีกินมีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เขาไม่ได้ทำอย่างที่พูด เป็นเรื่องปกติของคนพวกนี้…
จากนั้นก็มีประโยคเด็ด ที่คนฟังต้องซู้ดปาก…“ที่ใครบอกว่า ขี้ข้าเป็นคำไม่ดี ขี้ข้าคนโกงนั่นแหละเป็นสิ่งไม่ดี ขี้ข้าคนเอาเปรียบ ไม่ดี ขี้ข้าคนขายชาติไม่ดี แต่ขี้ข้าประชาชน เป็นวาสนาสูงสุดของพวกเรา”
“การเปลี่ยนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ไปเป็นโครงการก่อสร้างต่างๆ อ้างว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ความจริงแล้วเป็นเพียงการหาเงินทอน เพื่อประโยชน์บางกลุ่มเท่านั้น”
เรียกว่า “ลากไส้” ออกมาแฉ เพราะเม็ดเงินที่โยกมานี้ สูงถึง 1.57 แสนล้าน อ้างว่าจะเอาไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ การท่องเที่ยว พัฒนาภาคการส่งออก เศรษฐกิจชุมชน ซอฟต์เพาเวอร์ ที่แท้ทำเพื่อ “หัวคิว-เงินทอน”
เจอเข้าแบบนี้ “จุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์” รมช.คลัง หนังหน้าไฟ ของโครงการดิจิทัลวอลเลต ก็ออกมาลากไส้ “อนุทิน” กลับไปบ้าง บอกว่า… ไม่จริง เป็นการกล่าวหาที่เลื่อนลอย ไร้หลักฐาน เข้าข่ายเป็นการใส่ร้ายป้ายสี
แต่ที่มีหลักฐานชัดเจน และควรถูกตั้งคำถาม นั่นคือ โครงการในยุค “อดีตรมว.มหาดไทย” มี่มีความผิดปกติของการจัดสรรงบฯ ในโครงการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ไปกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ของพรรคการเมืองพรรคหนึ่งอย่างผิดสังเกต บางท้องถิ่นขอมาแห่งละ 80–100ล้าน
ยังพบว่า มีท้องถิ่นจำนวนมากขอจัดซื้อ “ตู้กดน้ำ” ราคาตู้ละ เกือบ 500,000 บาท ยอดรวมทั้งสิ้น กว่าหมื่นล้านบาท แถมเสนอเข้ามาพร้อมกัน โดยไม่ได้นัดหมาย มันผิดปกติมั้ยล่ะ พอโดนตรวจสอบเข้าเลยเหวอ…!
นี่ยังไม่ถึงช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียง ถ้า “อุ๊งอิ๊งค์” หรือ “ทักษิณ” ลงไปช่วยปราศรัย อาจมีเรื่องเซอร์ไพรส์ เพิ่มมาอีกก็เป็นได้
ดี…ต่างฝ่ายต่างสาวไส้เน่ากันแบบนี้ ประชาชนจะได้ตาสว่าง เหมือนที่ “ฮุนเซน” แฉ “อุ๊งอิ๊งค์-ทักษิณ” !
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO