ผลวิจัย 20 ปีจากญี่ปุ่นชี้ ถึงประชากรลดลง ก็ไม่ช่วยให้ ธรรมชาติ กลับคืนมา
โลกปัจจุบัน หายนะของสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติต่างๆ เกิดขึ้นไม่หยุด ตั้งแต่ภาวะโลกรวนและสิ่งเกี่ยวเนื่อง ไปจนถึงมลภาวะต่างๆ ที่ไม่มีพื้นที่ไหนในดาวเคราะห์ดวงนี้หนีรอดอีกแล้ว
แน่นอน ปัญหาพวกนี้เป็นปัญหาโลกแตกที่ฝั่งหนึ่งคนมองว่า มนุษย์จะสามารถสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาได้ในที่สุด แต่อีกฝั่งมองว่า เราต้องแก้จากสิ่งที่เรามีอยู่ตอนนี้นี่แหละ ไม่ใช่ไปหวังกับเทคโนโลยีที่ยังไม่เกิด
ในสายนี้ ความพยายามสารพัด ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์รู้จัก ดูจะไม่ช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม "ธรรมชาติ" ดูจะไม่กลับคืนมาง่ายๆ ความพยายามใดๆ ที่อ้างกัน โดยทั่วไปมักจะส่งผลตรงข้ามเสมอ คำสัญญาของชาติต่างๆ ถูกผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ จนดูไร้ความหวัง
แต่คนก็เห็น "ความหวัง" อย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือการที่บรรดาชาติพัฒนาแล้วเริ่มมีแนวโน้ม"ประชากรลดลง" ประเทศอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน ไทย อิตาลี สเปน และโปรตุเกส ล้วนประชากรลดลงหมดแล้ว
ถ้าเชื่อแบบนี้ คือการเชื่อว่าปัญหาธรรมชาติจริงๆ คือปัญหาด้านประชากร และนั่นหมายความว่า ถ้าประชากรมนุษย์ลดลงไปเรื่อยๆ ปัญหามันจะเบาลงๆ
ดังนั้น เราก็จึงไม่ต้องทำอะไรกับปัญหานี้…เว้นแต่มันจะไม่เป็นแบบนั้น
แต่ข่าวร้ายก็คือ มันไม่เป็นแบบนั้น เพราะงานวิจัยจากญี่ปุ่นที่ประชากรลดลงมาตั้งแต่ปี 2010 ชี้ให้เห็นเลยว่าเอาจริงๆ การลดลงของประชากรไม่ได้ช่วยให้ "ธรรมชาติ" กลับมา
งานวิจัยนี้ลงในวารสาร Nature Sustainability ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศในพื้นที่ต่างๆ ของญี่ปุ่นต่อเนื่องเป็นเวลา 20 ปี และได้ข้อสรุปว่า ในพื้นที่ที่ประชากรลดลง ความหลากหลายทางนิเวศไม่ได้กลับมา หรือพูดอีกแบบก็คือ การที่มนุษย์ลดลงมันไม่ได้ทำให้พื้นที่ "กลับคืนสู่ธรรมชาติ" โดยอัตโนมัติ ที่น่าสนใจก็คือ พื้นที่ที่ประชากรเพิ่มขึ้นและลดลงล้วนมีความหลากหลายทางนิเวศลดลงหมด แต่พื้นที่ที่ประชากรค่อนข้างคงที่ต่างหาก ที่ความหลากหลายทางนิเวศไม่ได้ลดลง
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? หรือเราอาจต้องมองความสัมพันธ์ของมนุษย์กับธรรมชาติใหม่หมด
ช่วงก่อนหน้านี้ นักอนุรักษ์ธรรมชาติมักจะชอบมองมนุษย์เป็นสิ่งแปลกปลอมของธรรมชาติ แต่ในความเป็นจริง ที่เราเห็นเป็น "ธรรมชาติ" ในปัจจุบัน มันมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมมนุษย์อยู่แล้ว อธิบายง่ายๆ ก็เช่น การทำนาของชาวนาไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมของระบบนิเวศ เพราะก็มีสัตว์มาอาศัยและหากินในนา และการหยุดทำนา สัตว์พวกนี้ก็หายไป การปล่อยที่นารกร้าง ทำให้สมดุลทางนิเวศเสีย เพราะมันจะทำให้สัตว์ต่างถิ่นโผล่มา เช่นเดียวกับทำให้ประชากรสัตว์ในพื้นที่เปลี่ยนหมด และปลายทางที่เค้าพบคือความหลากหลายก็หายไป
แต่มันไม่ใช่แค่นั้น เพราะการลดลงของประชากรมนุษย์นั้นทำงานในระบบทุนนิยมด้วย การลดลงของมนุษย์ในพื้นที่ทำให้ราคาที่ดินตกลง และสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่คนมาอยู่อาศัยมากขึ้น แต่กลายเป็นพวกนายทุนกว้านซื้อพื้นที่แปลงใหญ่เพื่อทำการเกษตรเข้มข้น หรือซื้อที่ดินราคาถูกๆ เพื่อทำโรงงาน ซึ่งอะไรพวกนี้มันทำให้ในหลายครั้ง พื้นที่ที่ประชากรลดลงมากๆ ไม่ได้ทำให้พื้นที่ตรงนั้น "เป็นธรรมชาติ" มากขึ้น
นักวิจัยอธิบายว่า คนจะชอบมองตัวอย่างของผลจากการที่มนุษย์หายไป อย่างภาวะที่เกิดขึ้นที่เชอร์โนบิลที่มนุษย์หนีการปนเปื้อนทางกัมมันตรังสีออกนอกพื้นที่หมด หรือกระทั่งมองภาวะที่ธรรมชาติฟื้นตัวตอนทุกคนอยู่บ้านช่วงโควิด ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ในความเป็นจริง มนุษย์ไม่ได้หายไปพรวดเดียว แต่ประชากรค่อยๆ ลดลงช้าๆ ไม่ใช่กลายเป็นศูนย์ในพริบตา และนั่นทำให้ภาวะของพื้นที่ที่ปราศจากมนุษย์เลยทันที เป็นคนละเรื่องกับภาวะของพื้นที่ที่มนุษย์ค่อยๆ หายไป
ทั้งหมดนี้เลยนำมาสู่ข้อสรุปทางนิเวศว่า การให้มนุษย์ค่อยๆ หายไปเฉยๆ โดยไม่แทรกแซง "ธรรมชาติ" ใดๆ ไม่ได้ทำให้ธรรมชาติกลับมาดังเดิมแน่ๆ เพราะธรรมชาติมันก็โยงกับชุมชนดั้งเดิม การที่ชุมชนหายธรรมชาติก็หาย พื้นที่ถ้าปล่อยไว้รกร้าง แนวโน้มคือจะทำให้สมดุลสิ่งมีชีวิตในพื้นที่เสีย เพราะพื้นที่การเกษตรเดิมถ้าปล่อยรกร้างไป พื้นที่มาแทนที่ก็ไม่ใช่พืชแบบเดิม แต่กลับกัน ถ้าราคาที่ดินในพื้นที่ลดลงมาก มันก็ชวนให้คนมาลงทุนปรับเปลี่ยนพื้นที่ในสเกลกว้าง และมีแนวโน้มทำให้พื้นที่ตรงนั้นผิดเพี้ยนไปจาก "ธรรมชาติ" กว่าเดิมอีก
แล้วต้องทำอย่างไร? งานวิจัยชี้ชัดเจนว่า คนลดลงไม่ช่วยอะไร "ธรรมชาติ" ไม่กลับมาโดยอัตโนมัติ สิ่งที่จะไม่ทำให้ "ธรรมชาติ" หายคือคนไม่ลดลงและดำรงวิถีชีวิตแบบเดิม ซึ่งถ้านั่นเป็นไปไม่ได้ การแทรกแซงธรรมชาติโดยผู้เชี่ยวชาญก็น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าในการทำให้พื้นที่ "คืนสู่ธรรมชาติ"
อ้างอิง
Fewer people doesn’t always mean better outcomes for nature – just look at Japan