ธปท.บังคับใช้กฎใหม่ โอนเงินสูงสุด 5 หมื่น/วัน ป้องกันหลอกโอนเงิน
ภัยคุกคามทางการเงินจากมิจฉาชีพยังคงสร้างความสูญเสียอย่างต่อเนื่อง แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะพยายามยกระดับมาตรการป้องกันมาตั้งแต่ปี 2566 แต่ข้อมูลล่าสุดสะท้อนว่า ปัญหายังไม่หมดไป
โดยเฉพาะการถูกหลอกให้โอนเงิน สร้างความเสียหายเกือบ 6,000 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2568 หรือเฉลี่ยเดือนละกว่า 2,000 ล้านบาท แม้จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีความเสียหายสูงถึง 8,590 ล้านบาทก็ตาม
นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามออกมาตรการดูแลภัยทุจริตทางการเงินมาตั้งแต่ปี2566 ซึ่งนับจากต้นปีจนถึงปัจจุบันพบว่า ภัยจากแอปดูดเงินไม่มีจำนวนผู้เสียหายแล้ว หรือ 0 เคส (เป็นศูนย์เคส)
แต่ยังพบความเสียหายจากการถูกหลอกโอนเงิน โดย ณ ไตรมาส 2/2568 มีมูลค่าความเสียหายราว 6,000 ล้านบาท เฉลี่ย 2,000 ล้านต่อเดือน ลดลงจากไตรมาส 2/2567 มีมูลค่าความเสียหาย 8,590 ล้านบาท แม้ว่า ณ เดือนกรกฎาคม 2568 จะสามารถระงับบัญชี 3 ล้านบัญชี คิดเป็นรายชื่อม้า 1.77 แสนรายชื่อก็ตาม
ทั้งนี้ ข้อมูลความเสียหายจากการหลอกลวงในเดือนมิถุนายน 2568 มีจำนวนความเสียหาย 24,500 เคส ความเสียหายรวม 2,800 ล้านบาท เฉลี่ย 114,000 บาทต่อเคส โดยยอดโอนเงินสูงสุดอยู่ที่ 4.9 ล้านบาท
และหากดูธุรกรรมที่เหยื่อโอนเข้าบัญชีม้ามูลค่าสูงกว่า 5 หมื่นบาท โอนเงินภายใน 3 นาที ประมาณ 50% ของมูลค่าความเสียหาย โดยที่เหยื่อจะแจ้งข้อมูลเข้าระบบภายใน 19-25 ชั่วโมง
อย่างไรก็ดี หากแยกตามกลุ่มอายุ จะพบว่า ความเสียหายจะสูงขึ้นตามอายุ ซึ่งจากข้อมูลสถิติย้อนหลัง 3 ปี 3 เดือน พบว่า เฉลี่ยคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีมูลค่าความเสียหายเฉลี่ย 4 แสนบาท และอายุน้อยกว่า 15 ปี แม้ว่า จำนวนเคสไม่เยอะ แต่จำนวนวงเงินค่อนข้างเยอะ ส่วนหนึ่งมาจากการผูกบัญชีกับครอบครัว
นางสาวดารณีกล่าวเพิ่มเติมว่า ธปท.ได้ออกประกาศ Shared Responsibility ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2568 โดยได้กำหนดมาตรการเพิ่มเติมให้สถาบันการเงินพิจารณากำหนดวงเงินให้เหมาะสม/สอดคล้องกับความต้องการใช้เงินของลูกค้า โดยแบ่งลูกค้าเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย
- กลุ่มลูกค้าต้องสงสัยและมีความเสี่ยง
- กลุ่มทั่วไป ที่ธนาคารรู้จักและประเมินจากข้อมูลที่มีอยู่
- กลุ่มเปราะบางที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ เช่น อายุต่ำกว่า 15 ปี และกลุ่มอายุเกินกว่า 65 ปี
หลังจากแยกกลุ่มลูกค้าแล้ว จะต้องกำหนดวงเงินเป็น 3 ระดับ ได้แก่ กลุ่ม S วงเงินไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อวัน กลุ่ม M วงเงินไม่เกิน 2 แสนบาทต่อวัน และกลุ่ม L วงเงินมากกว่า 2 แสนบาทต่อวัน ซึ่งธนาคารจะมีการประเมินลูกค้าจากพฤติกรรม การทำธุรกรรม และการรู้จักลูกค้า (KYC) ของแต่ละคน เพื่อกำหนดวงเงินให้เหมาะสม
สำหรับลูกค้าที่ต้องการทำธุรกรรมมากกว่าวงเงินที่กำหนดไว้ หรือวงเงินฉุกเฉินนั้น ลูกค้าสามารถแจ้งกับธนาคารในการปรับเปลี่ยนวงเงิน ซึ่งทางธนาคารจะมีช่องทางพิเศษในการอนุมัติการใช้วงเงินภายในหลักชั่วโมงเท่านั้น ส่วนกลุ่มที่ต้องการวงเงินมากกว่าที่กำหนด เนื่องจากสามารถรับผิดชอบตัวเอง กรณีนี้ก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยแจ้งธนาคารและให้เอกสารเพิ่มเติม
มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายหลัก คือ
- จำกัดไม่ให้มิจฉาชีพสามารถโอนเงินออกจากบัญชีได้ครั้งละจำนวนมาก เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพถ่ายโอนเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดได้เร็ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะกักเงินของผู้เสียหายไว้ได้ทัน
- จำกัดความเสียหายของประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของมิจฉาชีพ โดยธนาคารจะพิจารณากำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวันให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและพฤติกรรมการทำธุรกรรมในอดีตของลูกค้า จากเดิมที่เคยโอนได้ 2 ล้านบาทต่อวัน
สำหรับมาตรการนี้ จะมีผลบังคับใช้ในส่วนของลูกค้าใหม่ที่เพิ่งสมัคร Mobile Banking ทันที และลูกค้าปัจจุบันที่ใช้ Mobile Banking อยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนประมาณ 120 ล้านบัญชี ให้ดำเนินการภายในสิ้นปี 2568
ทั้งนี้ ธปท.ได้ประกาศมาตรฐานและมาตรการเพื่่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสำหรับสถาบัน การเงิน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2568 โดยยึด 5 หลักการสำคัญ ได้แก่
- แก้ไขปัญหาได้ตรง จุด
- มีวิธีปฏิบัติที่ชัดเจน
- สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย
- ไม่ด้อยกว่ามาตรฐานในต่างประเทศ
- สร้างความตื่นตัว (awareness) ให้แก่ประชาชน
เนื้้อหาของประกาศฉบับนี้ มีทั้งส่วนที่นำหลักเกณฑ์ที่มีผลบังคับใช้อยู่แล้วในปัจจุบัน ซึ่งเป็นมาตรการที่ ธปท.ผลักดันในช่วงที่ผ่านมา เช่น มาตรการจัดการบัญชีม้าและส่วนที่กำหนดเพิ่มเติมเพื่อให้เนื้อหาหลักเกณฑ์มีความครอบคลุมเพียงพอ เช่น การแจ้งเตือนลูกค้ากรณีมีเงินออกจากบัญชี
มาตรการประกอบด้วย การป้องกันธุรกรรมสวมรอย, ห้ามแอปพลิเคชันแนบลิงก์เสี่ยง, ใช้เทคโนโลยีตรวจจับการปลอมแปลงชีวมิติ, กระบวนการ KYC เข้มงวดเพื่อป้องกันบัญชีม้า, ระบบแจ้งเตือนธุรกรรมแบบเรียลไทม์ และช่องทางเร่งด่วนสำหรับผู้เสียหาย
มาตรการจำกัดวงเงินต่อครั้งถูกออกแบบมาเพื่อชะลอการโอนเงินก้อนใหญ่ ทำให้เจ้าหน้าที่มีเวลามากขึ้นในการระงับและกักเงินก่อนถูกถ่ายโอนต่อไปยังบัญชีปลายทาง ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสที่ผู้เสียหายได้รับเงินคืน
นางอรมนต์ จันทพันธ์ ผู้อำนวยการสายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ชี้ว่า จุดประสงค์หลักคือไม่ให้มิจฉาชีพโอนเงินได้ครั้งละจำนวนมาก และลดผลกระทบกับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ถูกเล็งเป็นเป้าหมาย
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,124 วันที่ 21 - 23 สิงหาคม พ.ศ. 2568