“ศูนย์รับผู้อพยพชาวเขมร” ที่ไทยต้องเปิดรับชาวกัมพูชา เมื่อเกิดปัญหาภายใน ปี 2518-2522
“ศูนย์รับผู้อพยพชาวเขมร” (ตามชื่อเรียกของกระทรวงมหาดไทย) ในประเทศไทย เกิดขึ้นเมื่อ ชาวกัมพูชาอพยพลี้ภัยสงคราม อันเนื่องจากปัญหาการเมืองจากประเทศบ้านเกิด
เหตุของการอพยพ
พ.ศ. 2518 เป็นปีที่หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องเผชิญกับการแพร่หลายของ “ลัทธิคอมมิวนิสต์” แนวคิดการเมืองใหม่ปะทะกับรูปแบบเดิมของแต่ละประเทศ ความขัดแย้งและสงคราม หากสุดท้ายหลายประเทศฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็เป็นฝ่ายชนะ เช่น กัมพูชา (17 เมษายน 2518), เวียดนาม (30 เมษายน 2518) และลาว (4 ธันวาคม 2518)
สำหรับ “พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา” หรือ เขมรแดง” ภายหลังยังเกิดความขัดแย้งและสู้รบขึ้นอีกเป็นระยะ (ระหว่าง พ.ศ. 2520-2521)
เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2520 มีข่าวความขัดแย้งระหว่างกัมพูชาและเวียดนาม ซึ่งเคยเป็นมิตรประเทศร่วมสู้กับสหรัฐอเมริกา อันเนื่องจาก “ปัญหาดินแดน” แล้วความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม กับพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา (เขมรแดง) ก็นำไปสู่ “การตัดความสัมพันธ์ทางการทูต” ในสิ้นปี 2520 ตามมาด้วยการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย
สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้ประชาชนชาวกัมพูชาจำนวนไม่น้อยอพยพลี้ภัยไปประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ระบุว่า ผู้อพยพชาวกัมพูชาที่เข้ามาในประเทศไทย ระหว่าง พ.ศ. 2518-2521 มีจำนวน 34,000 คนเศษ
พ.ศ. 2522 ในช่วงต้นปี การสู้รบระหว่างเวียดนามกับเขมรแดงตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดเวียดนามนำกองกำลังทหารเข้าบุกยึดครองกัมพูชาสำเร็จ สร้างความหวาดวิตกให้ชาวกัมพูชาอย่างมาก ตัวเลขจาก UNHCR ใน พ.ศ. 2522 มีชาวกัมพูชาอพยพเข้าในประเทศไทยถึง 137,894 คน (ตัวเลขทางการไทยคือ 300,000 คน) และกว่า 43,000 คนใน พ.ศ. 2523
ศูนย์รับผู้อพยพชาวเขมร
การรับผู้อพยพกัมพูชานั้น ทางการไทยโดยกระทรวงมหาดไทย ได้ตั้ง “ศูนย์รับผู้อพยพชาวเขมร” ขึ้นทั้งหมด 8 แห่ง ในจังหวัดที่อยู่ใกล้ หรือมีพื้นที่ติดกับประเทศกัมพูชา ดังนี้
- ศูนย์รับผู้อพยพ อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ
- ศูนย์รับผู้อพยพ อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์
- ศูนย์รับผู้อพยพ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
- ศูนย์รับผู้อพยพ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดปราจีนบุรี
- ศูนย์รับผู้อพยพ อำเภอเมือง จังหวัดตราด
- ศูนย์รับผู้อพยพ อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด
- ศูนย์รับผู้อพยพ อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี
- ศูนย์รับผู้อพยพ อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี
ภายในศูนย์รับผู้อพยพชาวเขมร นอกจากจะจัดให้มีที่พักอาศัยและอาหารสำหรับผู้อพยพแล้ว ยังมีบริการสาธารณสุข, การศึกษาทั้งสายสามัญและสายอาชีพ, การส่งเสริมอาชีพ, สันทนาการ ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมี “ศูนย์พักพิงผู้อพยพชาวกัมพูชาตามแนวชายแดน” หรือ “ค่ายอพยพ” เช่น ศูนย์พักพิงหนองจาน และศูนย์พักพิงหนองเสม็ด ในอำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ฯลฯ
ต่อมา พ.ศ. 2522 เมื่อจำนวนผู้อพยพชาวกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างมาก จึงมีการจัดตั้ง “ศูนย์ที่พักชั่วคราวผู้หลบหนีชาวกัมพูชา (ศทก.)” ได้แก่ ศทก. ค่ายสระแก้ว อำเภอสระแก้ว จังหวัดปราจีนบุรี, ศทก. เขาอีด่าง อำเภอตาพระยา จังหวัดปราจีนบุรี และ ศกท. บ้านหินโคน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์
การรับผู้อพยพกัมพูชาในเวลานั้นเป็นเรื่องมนุษยธรรม แต่ก็มีผลกับไทยในมิติต่างๆ ทั้งในระยะสั้นและระยาวยาวเช่นกัน
คลิกอ่านเพิ่ม :
- “เจ้าสีหนุ” สร้างปรากฏการณ์ใหม่แก่ราชวงศ์ทั่วโลก ด้วยการสละราชบัลลังก์ให้ “พระราชบิดา”
- นักองค์อี นักองค์เภา 2 ราชนารี เชื่อมสัมพันธ์กัมพูชา-สยาม
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง
ผู้เขียน (ไม่ได้ระบุ). ผู้อพยพชาวอินโดจีนในประเทศไทย, สำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพ กระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2523.
พัชรี ลิ้มโภคา. นโยบายของไทยต่อปัญหาผู้อพยพชาวกัมพูชา สมัยรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์, วิทยานิพนธ์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2528.
วันชัย ไพเราะ, ภารดี มหาขันธ์. “พัฒนาการชายแดนไทย-กัมพูชา: การเกิดศูนย์พักพิงผู้อพยพและจุดเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศของไทย” ใน, วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ปีที่ 24 ฉบับที่ 46 กันยายน-ธันวาคม 2559.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2568.
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : “ศูนย์รับผู้อพยพชาวเขมร” ที่ไทยต้องเปิดรับชาวกัมพูชา เมื่อเกิดปัญหาภายใน ปี 2518-2522
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com