หุ้นสหรัฐฯ ปิดผันผวน ดาวโจนส์บวกเกือบ 180 จุด, กลุ่มยานยนต์ดิ่งแรงหวั่นผลกระทบภาษีทรัมป์
หุ้นสหรัฐฯ ปิดผันผวน ดาวโจนส์บวกเกือบ 180 จุด, กลุ่มยานยนต์ดิ่งแรงหวั่นผลกระทบภาษีทรัมป์
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -23 ก.ค. 68 7:48: น.
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดผสมผสานในวันอังคาร (22 ก.ค.) โดยดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 179.37 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดทำสถิติสูงสุดใหม่ ท่ามกลางการปรับตัวลดลงอย่างหนักของหุ้น General Motors ขณะที่หุ้น Tesla ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยนักลงทุนยังคงจับตารายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด รวมถึงความคืบหน้าในการเจรจาการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดเพิ่มขึ้น 179.37 จุด หรือ 0.40% ปิดที่ 44,502.44 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดเพิ่มขึ้น 4.02 จุด หรือ 0.06% ปิดที่ 6,309.62 จุด และดัชนีแนสแดค ปิดลดลง 81.49 จุด หรือ 0.39% ปิดที่ 20,892.68 จุด
หุ้น General Motors ร่วงลง 8.1% หลังบริษัทเปิดเผยว่าได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐ เป็นมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในผลประกอบการไตรมาสล่าสุด ซึ่งเป็นการยิ่งตอกย้ำความกังวลของนักลงทุนต่อนโยบายการค้าทั่วโลกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่หุ้นของ Ford Motor ปรับตัวลดลงประมาณ 1%
ด้านหุ้น Tesla ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.1% ก่อนการรายงานผลประกอบการไตรมาสในวันพุธ (23 ก.ค.) ขณะที่หุ้น Alphabet ซึ่งมีกำหนดรายงานผลประกอบการในวันพุธเช่นกัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.65% ขณะที่หุ้น Meta Platforms และ Microsoft ต่างลดลงประมาณ 1%
นายรอสส์ เมย์ฟิลด์ (Ross Mayfield) นักวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนจาก Baird กล่าวว่า ตลาดกำลังประเมินสถานการณ์ หลังราคาหุ้นพุ่งแรง โดยมีเรื่องสำคัญที่ต้องจับตาในช่วง 1 - 2 สัปดาห์ข้างหน้า ได้แก่ กำหนดเส้นตายการเรียกเก็บภาษีในวันที่ 1 ส.ค. และการประกาศผลประกอบการของหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven
ข้อมูลของ LSEG I/B/E/S ระบุว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 จะรายงานกำไรเพิ่มขึ้น 7% ในไตรมาส 2 โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก
หุ้น RTX ยักษ์ใหญ่ด้านการบินและอวกาศ และการป้องกันประเทศ ดิ่งลง 1.6% หลังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ แม้ว่าความต้องการเครื่องยนต์และบริการหลังการขายจะแข็งแกร่ง ขณะที่หุ้น Lockheed Martin ร่วงลงเกือบ 11% หลังกำไรสุทธิไตรมาสล่าสุดลดลงประมาณ 80%
นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ยังคงเป็นประเด็นความไม่แน่นอนที่สำคัญสำหรับนักลงทุนและบริษัทต่าง ๆ เนื่องจากใกล้ถึงเส้นตายที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำหนดไว้ในวันที่ 1 ส.ค. เพื่อให้หลายประเทศบรรลุข้อตกลงกับทำเนียบขาว โดยนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวว่าจะเข้าพบกับคณะเจรจาจากจีนในสัปดาห์หน้า เพื่อหารือเกี่ยวกับการขยายกำหนดเส้นตายการเก็บภาษีนำเข้าจากจีน ซึ่งเดิมกำหนดไว้ในวันที่ 12 ส.ค. ขณะที่การเจรจาการค้ากับชาติอื่น ๆ ดูเหมือนจะชะงักงัน โดยความหวังในการบรรลุข้อตกลงกับอินเดียเริ่มลดลง และเจ้าหน้าที่สหภาพยุโรปกำลังพิจารณามาตรการตอบโต้สหรัฐฯ
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวนในดัชนี S&P 500 ปรับตัวสูงขึ้น นำโดยหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.9% ตามด้วยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น 1.78%
หุ้น Philip Morris ร่วง 8.43% หลังรายงานรายได้ไตรมาส 2 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากยอดจัดส่งผลิตภัณฑ์ nicotine pouches แบรนด์ ZYN สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน
ทั้งนี้ เครื่องมือ FedWatch ของ CME บ่งชี้ว่า หลังมีการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจที่ผสมผสานในสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้บรรดานักลงทุนตัดโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในการประชุมนโยบายสัปดาห์หน้า และคาดว่ามีโอกาสประมาณ 60% ที่เฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.นี้
ที่มา Reuters
รายงาน โดย สิริพงศ์ สิริชุมศรี เรียบเรียง โดย Supak Hopuengju
อีเมล์. supak@efinancethai.com
ดูข่าวต้นฉบับ