เมืองคาร์บอนต่ำ กุญแจสำคัญสู้โลกเดือด มนุษย์ต้องปรับตัวให้เร็วที่สุด
โลกกำลังร้อนขึ้น ภัยพิบัติก็จะรุนแรงขึ้น เห็นได้ชัดจากน้ำท่วมที่จังหวัดน่าน ซึ่งถือว่ารุนแรงที่สุดในประวัติการณ์ เพราะน้ำทะเลที่อุ่นขึ้นส่งผลให้พายุวิภามีพลังมากขึ้น ในเมื่อเรายังแก้ต้นเหตุของภาวะโลกร้อนไม่ได้เต็มที่ การ “ปรับตัว” จึงเป็นสิ่งสำคัญ
มีการคาดการณ์ว่า ภายในปี 2050 ประชากรกว่า 70% จะอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่า เมืองคือแหล่งปล่อยคาร์บอนอันดับต้น ๆ ของโลก
เพราะงั้น เมืองที่ออกแบบมาเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือที่เรียกว่า “เมืองคาร์บอนต่ำ” จึงเป็นกุญแจสำคัญในการชี้วัดว่า เราจะรอดหรือร่วงในโลกใบนี้
Low Carbon City คืออะไร?
เมืองคาร์บอนต่ำคือ เมืองที่ออกแบบทุกมิติเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากที่สุด ทั้งด้านพลังงาน ขนส่ง ขยะ ผังเมือง และพฤติกรรมผู้คน หลัก ๆ คือ
- ใช้พลังงานหมุนเวียน
- ส่งเสริมขนส่งสาธารณะ
- ออกแบบเมืองให้กะทัดรัด ลดการเดินทาง มีพื้นที่สีเขียว
- ลดขยะ ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน
- ใช้เทคโนโลยีช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในทุกภาคส่วน
โดยในต่างประเทศก็มีเยอะเลย เช่นที่ โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ตั้งเป้าจะเป็นเมืองปลอดคาร์บอน ภายในปี 2025 หรือก็คือปีนี้เลย ระบบขนส่งมวลชนที่นี่ส่วนใหญ่ผู้คนใช้จักรยานในการเดินทางเป็นหลัก โดยมีผลสำรวจด้วย บอกว่าผู้คน 60% ที่นี่ ขี่จักรยานไปทำงาน โคเปนเฮเกนใช้พลังงานหมุนเวียนจากลมและชีวมวลเป็นหลัก รวมถึงใช้พลังงานความร้อนจากโรงเผาขยะร่วมด้วย
ฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น มีการวางผังเมืองแบบ Compact City กระจุกคนให้อยู่กลางเมือง เพื่อลดการเดินทาง ส่งเสริมให้คนเดินเท้าและใช้รถไฟฟ้าในการเดินทาง และมีการพัฒนาเทคโนโลยีอาคารประหยัดพลังงาน
หรือสิงคโปร์ใกล้บ้านเรา เห็นเมืองเล็กแบบนี้มีแนวคิด Green and Smart Nation สร้างพื้นที่สีเขียวให้คนของเขาได้มากถึง 50% ของพื้นที่เมือง ส่งเสริมตึกสีเขียว หลังคาสีเขียว และระบบเก็บพลังงาน มีระบบขนส่งที่ทั่วถึง ลดการใช้รถส่วนตัว
เมืองแบบนี้ฟังดูเหมือนอยู่ไกลตัว แต่ความจริงคือ ในไทยเราก็มีเหมือนกัน จากการดำเนินงานส่งเสริมเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืน โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเผยว่า ในไทยมีเกือบ ๆ 20 เมืองแล้วที่เป็นต้นแบบเมืองยั่งยืนและเมืองคาร์บอนต่ำ
เช่น เทศบาลนครตรัง หรือ เมืองทับเที่ยง เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ ไม่ได้มีดีแค่วัฒนธรรมจีน-ท้องถิ่น และตึกชิโน-โปรตุกีสที่อนุรักษ์ไว้ได้อย่างดี แต่ยังเป็นหนึ่งในต้นแบบของเมืองคาร์บอนต่ำด้วย เช่น
- เปลี่ยนหลอดไฟในเมืองเป็น LED ประหยัดพลังงาน
- ใช้โซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้า
- เปลี่ยนแอร์ในสำนักงานเป็นระบบ Inverter
- จัดการขยะด้วยการแยกตั้งแต่ต้นทาง และนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิง RDF
- มีระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่
- แม้ว่าภาคใต้จะไม่ค่อยเจอปัญหาเรื่องฝุ่น แต่ก็มีระบบเฝ้าระวังฝุ่น PM2.5 แบบเรียลไทม์ และห้ามเผาขยะในพื้นที่
- พัฒนาพื้นที่สีเขียวในเมือง ส่งเสริมการมีสวนสาธารณะทั่วเมืองให้คนเข้าถึงพื้นที่สีเขียวได้ง่าย
- เข้าร่วมโครงการ Low Carbon City ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง ยังมีอีกหลายชุมชนในไทยเลยที่ก็เริ่มขยับ ในการเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำแล้ว เพราะไม่ใช่แค่ดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังดีต่อสุขภาพและสภาวะจิตใจของเราด้วย ท่ามกลางโลกที่เผชิญหน้ากับปัญหาสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ และอีกมากมายเลย แต่อย่างน้อย การมีเมืองสีเขียวเล็ก ๆ ที่เป็นเซฟโซนในบ้านเราก็ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยได้ระดับหนึ่ง
แต่การจะเกิดขึ้นของเมืองเหล่านี้ได้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมจากทุกฝ่ายค่ะ ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชน ภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคการศึกษา ที่จะต้องทำความเข้าใจ และต้องร่วมใจกันทำให้ทุกกิจกรรมที่ว่าเกิดขึ้นจริงในบ้านของเราเอง แม้ว่าเมืองคาร์บอนต่ำอาจไม่ได้สำเร็จในเร็ววัน แต่ถ้าเราทุกคนช่วยกัน มันก็จะสำเร็จแน่นอน