ไหนว่ามีงานรองรับ ? บุกรวบแรงงานกัมพูชาหลังลักลอบเข้าไทยเพราะทนความอดอยากไม่ไหว
ไหนว่ามีงานรองรับ ? กองกำลังบูรพา บุกรวบแรงงานกัมพูชา 2 ครอบครัวใหญ่ หลังลักลอบเดินเท้าฝ่าช่องทางธรรมชาติเข้าไทย หวังกลับมาหางานทำในไทยเพราะทนความอดอยากในประเทศตัวเองไม่ไหว
วันที่ 12 ส.ค. 2568 เจ้าหน้าที่ทหารพราน ร้อย ทพ.1206 ร่วมกับกำลังทหาร ร.2 พัน 1 รอ. ได้เข้าตรวจสอบรถยนต์ต้องสงสัย โดยพบว่าจอดอยู่ริมถนนหลวงหมายเลข 3383 และพบกลุ่มบุคคล 4 คนกำลังเดินเท้ามาจากไร่อ้อยเพื่อจะขึ้นรถคันดังกล่าว จึงแสดงตัวเข้าจับกุม จากการตรวจสอบพบว่าผู้ขับรถยนต์เป็นคนไทยคือ นายธงชัย อายุ 37 ปี และแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชา 2 คน คือ นายเมียน ราวี อายุ 19 ปี และ นางเมือน พันนา อายุ 21 ปี พร้อมด้วยผู้ติดตามอีก 2 คน คือ นายเมียน ราอวน อายุ 15 ปี และ ด.ญ.กัง ฟง อายุ 7 ปี
นายธงชัยให้การว่าได้รับการว่าจ้างจากหลานเขยให้มารับชาวกัมพูชาเพื่อนำไปส่งยังพื้นที่ตอนในของประเทศ โดยได้รับค่าจ้าง 300 บาทต่อคน ขณะที่ชาวกัมพูชาให้ข้อมูลว่าเดิมเคยทำงานค้าขายในตลาดอินโดจีน อำเภออรัญประเทศ
แต่ได้เดินทางกลับประเทศกัมพูชาเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เนื่องจากไม่มีรายได้และความอดอยากจึงตัดสินใจติดต่อผู้นำพาผ่านเพื่อน โดยจ่ายค่าเดินทางเป็นเงินสดคนละ 4,000 บาท และเด็ก 1,000 บาท รวมเป็นเงิน 13,000 บาท ก่อนจะถูกจับกุม
ในวันเดียวกัน เวลาประมาณ 22.00 น. เจ้าหน้าที่ทหารพราน ร้อย ทพ.1202 ได้ลาดตระเวนในพื้นที่รับผิดชอบและพบกลุ่มบุคคลต้องสงสัยจำนวน 5 คน เดินเท้าพร้อมสัมภาระมาตามช่องทางธรรมชาติบริเวณบ้านภูน้ำเกลี้ยง ตำบลป่าไร่ จึงเข้าตรวจสอบและจับกุม
จากการซักถามทราบว่าเป็นแรงงานชาวกัมพูชาที่ลักลอบเข้าเมืองโดยไม่มีผู้นำพา ประกอบด้วย นายกร จันทา อายุ 42 ปี และ นางพอล ทิดา อายุ 46 ปี ซึ่งเป็นสามีภรรยากัน พร้อมลูกสาวและลูกชายวัย 13 ปี และ 8 ปี และยังมีแรงงานอีกคนคือ นายอัง ดำ อายุ 22 ปี ที่มาพบกันระหว่างทางและเดินทางมาด้วยกัน
แรงงานชาวกัมพูชาทั้งหมดให้การตรงกันว่าเคยทำงานคัดแยกรองเท้าในตลาดโรงเกลือ แต่ถูกส่งตัวกลับประเทศเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เมื่อกลับไปถึงประเทศแล้วไม่มีงานทำและขาดรายได้ จึงตัดสินใจลักลอบกลับเข้ามาในประเทศไทยอีกครั้งเพื่อกลับไปทำงานกับนายจ้างคนเดิม
เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวแรงงานชาวกัมพูชาทั้งหมดส่งให้กับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรคลองน้ำใสและสถานีตำรวจภูธรคลองลึกเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป