ไขข้อสงสัย ซื้อสายชาร์จแรงมาใช้ แต่ทำไมชาร์จไฟได้แค่ 20W
เวลาที่คุณทำสายชาร์จไฟของมือถือพัง ก็ต้องซื้อสายใหม่ หลายคนอาจจะไม่ได้มีความรู้แค่ดูราคาและสีที่ถูกใจก็ซื้อมาเลย หรือดูตัวเลข W (วัตต์) เท่านั้น แต่พอเสียบกับมือถือพบว่าไม่ได้ชาร์จไฟเร็วในแบบเดิมจนรู้สึกเสียดายก่อนที่จะทิ้งสาย วันนี้ Sanook Hitech จะมาเฉลยว่าปัญหาเรื่องของการสายชาร์จไฟถึงแรงไม่พอ
สาเหตุหลักที่ทำให้ชาร์จไฟไม่แรงตามสเปก
เรื่องของการชาร์จไฟมือถือนั้นอาจจะต้องใช้ทักษะเรื่องวิศวไฟฟ้า ถ้าพูดแบบนั้นก็อาจจะยากไปหน่อยเราขอยกตัวอย่างว่า ที่ชาร์จ คือ "ปั๊มน้ำขนาดใหญ่", สายชาร์จ คือ "ท่อน้ำ", และ มือถือ คือ "ถังเก็บน้ำ" การจะเติมน้ำให้เต็มถังอย่างรวดเร็วได้ ทั้งสามส่วนต้องทำงานสอดคล้องกันได้แก่
1. ตัวมือถือไม่รองรับ
นี่คือปัจจัยที่สำคัญที่สุดครับ มือถือแต่ละรุ่นจะมีความสามารถในการรับไฟ (Charging Input) ได้สูงสุดไม่เท่ากัน ตัวอย่างหากคุณใช้ ที่ชาร์จ 60W กับ iPhone 15 Pro ซึ่งรับไฟสูงสุดได้ประมาณ 27W ที่ชาร์จก็จะจ่ายไฟให้ iPhone ได้แค่ 27W เท่านั้นครับ จะไม่สามารถจ่ายไฟ 60W เข้าไปได้เลย
ดังนั้น เหมือนเรามีปั๊มน้ำที่แรงมาก (ที่ชาร์จ 60W) แต่ถังเก็บน้ำที่บ้าน (มือถือ) มีท่อรับน้ำขนาดเล็กนิดเดียว (รับไฟได้ 27W) น้ำก็จะไหลเข้าได้ตามขนาดท่อที่รับได้เท่านั้น
2. สายชาร์จไม่รองรับ
เมื่อเราดูที่อุปกรณ์ไปแล้วพบว่าตัวเครื่องรองรับแล้ว แต่สายชาร์จคือสะพานเชื่อมพลังงาน ถ้าสายไม่ได้มาตรฐาน ก็จะเป็นคอขวดทันที สายต้องรองรับกำลังไฟ (Wattage): สายชาร์จเร็วต้องถูกออกแบบมาให้นำไฟฟ้ากำลังสูงได้ หากนำสาย 10W-20W ทั่วไปมาใช้กับที่ชาร์จ 60W สายจะไม่สามารถส่งพลังงานไปได้เต็มที่
นอกจากนี้ตัวเครื่องสำหรับการชาร์จด้วยกำลังไฟสูงกว่า 60W ผ่านมาตรฐาน USB-PD (Power Delivery) สายจำเป็นต้องมีชิป E-Marker (Electronic Marker) ฝังอยู่ เพื่อสื่อสารข้อมูลกับที่ชาร์จและมือถือว่าสายเส้นนี้รองรับไฟได้เท่าไหร่ หากไม่มีชิปนี้ ระบบมักจะจำกัดการจ่ายไฟไว้ที่ 60W หรือต่ำกว่าเพื่อความปลอดภัย
3. มาตรฐานการชาร์จ (Protocol) ไม่ตรงกัน
อย่างที่ 3 เราอยากให้ดูว่ามือถือกับที่ชาร์จรองรับเทคโนโลยีการชาร์จเร็วมีหลายค่าย หลายมาตรฐาน และบางครั้งก็ทำงานข้ามกันไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ USB-PD (Power Delivery): เป็นมาตรฐานกลางที่ใช้กันแพร่หลายในมือถือส่วนใหญ่ (เช่น iPhone, Samsung, Google Pixel) และโน้ตบุ๊ก ที่ชาร์จ 60W ส่วนใหญ่มักจะเป็นมาตรฐานนี้
อย่างไรก็ตามมาตรฐานของมือถือจีนหลายแบรนด์มีเทคโนโลยีของตัวเอง เช่น Xiaomi HyperCharge, OPPO SuperVOOC, realme DartCharge ซึ่งต้องใช้ "หัวชาร์จและสายชาร์จแท้ของตัวเองเท่านั้น" ถึงจะได้ความเร็วสูงสุด หากนำที่ชาร์จ USB-PD 60W ไปชาร์จมือถือ Xiaomi ที่รองรับ 120W HyperCharge ความเร็วที่ได้อาจจะลดลงมาเหลือแค่ 18W-27W เท่านั้น เพราะมันจะเปลี่ยนไปคุยกันด้วยภาษาชาร์จแบบกลางๆ แทน
4. ปัจจัยอื่นๆ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ทำให้สายชาร์จไฟไม่สามารถชาร์จไฟได้เร็ว
- ความร้อน: หากเครื่องร้อนเกินไป (จากการเล่นเกมไปชาร์จไป หรืออยู่ในที่อากาศร้อน) ระบบจะลดความเร็วในการชาร์จลงอัตโนมัติเพื่อป้องกันแบตเตอรี่เสียหาย
- ระดับแบตเตอรี่: โทรศัพท์จะชาร์จเร็วที่สุดในช่วงแบตเตอรี่ต่ำ (เช่น 0-70%) และจะชาร์จช้าลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อแบตใกล้เต็ม (80-100%) เพื่อถนอมสุขภาพแบตเตอรี่
- การเปิดฟีเจอร์ถนอมแบต: มือถือหลายรุ่นมีฟีเจอร์ "การชาร์จเพื่อถนอมแบตเตอรี่" ซึ่งจะเรียนรู้พฤติกรรมเราและชาร์จไฟให้เต็ม 100% ก่อนเวลาที่เราจะตื่นนอนเล็กน้อย ทำให้ช่วงกลางคืนชาร์จได้ช้าลง
จากทั้งหมดเราขอสรุป สายชาร์จไฟแม้แรงแล้ว แต่ถ้ามือถือของคุณไม่รับหรือปัจจัยอื่นไม่รับ ยังไงก็ไม่สามารถชาร์จไฟได้เร็ว อย่างไรก็ตีควรดูจากข้อมูลสเปกของมือถือของคุณว่าชาร์จไฟได้เท่าไหร่ และดูในกล่อง หรือคู่มือเล็กๆ ว่ามือถือรับกำลังชาร์จไฟเท่าไหร่ และรวมถึงเวลาที่จะซื้อควรลองถามพนักงานก่อนซื้อว่ารองรับมือถือของคุณหรือไม่ แต่จริงๆ แล้วถ้าเสียบชาร์จไฟไม่ได้มาตรฐานความเร็วสูงสุด ไม่ได้ทำให้เครื่องพังนะครับ ยังคงชาร์จไฟได้ตามปกตินะ ก็สามารถใช้ได้อยู่นะ
ครั้งหน้า Sanook Hitech จะนำเสนอ Tips และ เทคนิคอะไรมาบอกเล่ากันต่ออย่าลืมกลับมาติดตามกันครับ