ร้องสอบคลินิกเสริมความงามดังเมืองอุดร ต้องสงสัยใช้ ‘บัญชีม้า’ เงินหมุนเวียน 50 ล้าน
จากกรณีคลินิกเสริมความงามในพื้นที่ จ.อุดรธานี จัดกิจกรรมเอาดารา นักร้อง มาแสดงเพื่อโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนเข้าไปซื้อคอร์สเสริมความงาม ในราคาหลักแสนถึงล้านบาท แต่พอใช้บริการจริง กลับพบว่าผู้ให้บริการและผู้ที่ทำหัตถการไม่ใช่หมอที่ได้รับใบอนุญาต มีการสลับเปลี่ยนบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นหมอเข้ามาทำหน้าให้ลูกค้าไม่ซ้ำคน ทำให้ไม่รู้ว่าเป็นหมอจริงหรือไม่ หวั่นเกรงว่าจะเกิดความไม่ปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีผู้เสียหายอ้างว่า ถูกหลอกให้ซื้อคอร์สในราคาหลักล้านบาทแบบไม่เต็มใจ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ห้องรับรอง สนามบินนานาชาติอุดรธานี นายธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมต.สาธารณสุข ได้รับเรื่องร้องเรียนกับนายกฤษฎา โลหิตดี หรือทนายโนบิตะ และผู้เสียหายเป็นผู้หญิง 2 ราย โดยมีการยื่นหนังสือร้องเรียนให้ตรวจสอบคลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่ง หลังจากมีพฤติกรรมจัดกิจกรรมชักชวนให้เข้าไปซื้อคอร์สเสริมความงาม แต่การให้บริการไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ผู้ให้บริการอาจจะไม่ใช่หมอเฉพาะทาง มีการฉีดสารบางอย่างเข้าร่างกายจนเป็นผื่นแดง มีการเสนอขายยาเสริมความงาม แต่คิดว่าเป็นยาที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้มีผู้เสียหลายรายตกเป็นเหยื่อ บางรายต้องสูญเงินไปล้านกว่าบาท
เบื้องต้น "ทนายโนบิตะ" พาผู้เสียหายเข้าแจ้งความกับ พ.ต.อ.พัฒนวงศ์ จันทร์พล ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี เพื่อยื่นเรื่องร้องเรียนเพิ่มเติมให้เข้าตรวจสอบคลินิกดังกล่าว ตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข โดย ภก.มะโนตร์ นาคะวัจนะ เภสัชกรเชี่ยวชาญ รองนายแพทย์สาธารณสุข จ.อุดรธานี พ.ต.ต.ภาคภูมิ แก้วสวนจิก สว.(สอบสวน) สภ.เมืองอุดรธานี นำคณะเจ้าหน้าที่จาก สสจ.อุดรธานี และ สภ.เมืองอุดรธานี เข้าตรวจสอบคลินิกเสริมความงาม ตั้งอยู่ภายในศูนย์การค้าชื่อดัง ตัวจังหวัดอุดรธานี เบื้องต้นพบเพียงหญิงอ้างตัวเป็นผู้จัดการสาขา นำเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสาร อุปกรณ์ เครื่องมือเสริมความงาม และผลิตภัณฑ์ยา อาหารเสริม ส่วนในคลินิกพบมีการแบ่งเป็นห้องเสริมความงาม 6 ห้อง ห้องเก็บผลิตภัณฑ์ยา อาหารเสริม 1 ห้อง
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของคลินิกแห่งนี้พบว่า มีการใช้ "บัญชีม้า" ในการรับเงิน 4 บริษัท มีเงินหมุนเวียนในบัญชีม้าไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ทั้งที่บริษัทเพิ่งเปิดได้ไม่ถึง 1 ปี โดยเส้นเงินพบว่ามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงหลายคลินิกที่เปิดให้บริการในกรุงเทพฯ หลายแห่ง และมีพฤติกรรมในการจัดกิจกรรมเอาดารานักร้องมาอ้างแล้วชักชวนขายคอร์สเช่นเดียวกันกับ จ.อุดรธานี
เบื้องต้นทาง สสจ.อุดรธานี พบว่า คลินิกดังกล่าวมีการแสดงใบอนุญาตคนละชื่อกับคลินิก ส่วนเรื่องการแสดงใบอนุญาตแพทย์ผู้ควบคุมดูแล แพทย์ผู้ปฏิบัติงาน และผลิตภัณฑ์ยา ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง หากมีการกระทำความผิดจริง ต้องถูกดำเนินการตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข และขยายผลในความผิดอื่นต่อไป
ด้าน น.ส.เอมมี่ (นามสมมุติ) อายุ 50 ปี ผู้เสียหาย เล่าว่า วันที่ 23 พ.ย. ปีที่แล้ว ได้เดินซื้อของในศูนย์การค้า ขณะเดินผ่านงานอีเวนต์ของคลินิกดังกล่าว ได้มีพนักงานขายของคลินิกเวชกรรมเข้ามาทักทาย พูดจาหว่านล้อมว่าทางคลินิกกำลังจัดโปรโมชั่นเสริมความงามอยู่ จึงได้สอบถามเกี่ยวกับคอร์สเสริมความงาม ฉีดหน้า ทำหน้าเรียวไหม เขาบอกว่ามีคอร์สราคา 1 หมื่นบาท ทำได้ 5 ครั้ง ถ้าสนใจโอนเงินวันนี้จะทำให้ฟรีในครั้งแรก ตนก็หลงเชื่อขึ้นไปคลินิกไปนวดหน้าฟรี ระหว่างใช้บริการอยู่ พนักงานก็มาเสนอโปรโมชั่นเพิ่มเติม จ่ายเงินเพียง 3 แสนบาท จะเลือกทำโปรแกรมใดก็ได้เหมือนเป็นเจ้าของร้าน ในวงเงิน 9 แสนบาท ตนหลงเชื่อจึงตอบตกลง
แต่เมื่อกลับไปใช้บริการในวันนัด ตนต้องการจะฉีดหน้ายกกระชับใบหน้า พนักงานบอกว่าต้องเปิดโปรโมชั่นเพิ่มอีก 3 แสน เป็นแบบหัตถการ ตนก็จ่ายไปอีก เมื่อกลับไปใช้บริการอีกครั้ง เขาก็บอกว่ามีเซอร์ไพร้ส์ ผู้จัดการมาจาก กทม. สั่งเครื่องยกกระชับหน้าท้องมาจากเยอรมัน คอร์สเต็มราคา 8 แสน แต่จะลดให้เหลือ 4 แสน เมื่อรวมกับ 2 คอร์สที่ผ่านมา จะเพิ่มวงเงินการใช้บริการจาก 9 แสน เป็น 1 ล้านบาท รวมทั้งการเสนอขายยาฉีดหน้าอีกหลายครั้ง ครั้งละ 1 แสน ตอนนั้นตนเริ่มไม่อยากจะทำต่อแล้ว เพราะเห็นว่าจ่ายเงินไปเยอะแล้ว จนครั้งสุดท้าย ตนเข้ามาใช้บริการอีกครั้ง พนักงานได้เอาน้ำมะตูมมาให้ดื่ม
หลังจากนั้นระหว่างที่ตนนวดตัวอยู่ ก็มีอาการสะลึมสะลือ เขาก็มาเสนอขายคอร์สฉีดสารลดความอ้วน ฉีดเข้าเส้นเลือด ส่วนเกินต่าง ๆ จะออกมาทางปัสสาวะ จากราคา 8 แสน เหลือ 4 แสน ตนก็ปฏิเสธเพราะกลัวการฉีด แต่ก็มีพนักงานมาขอบัตรเครดิตตนไป อ้างว่าจะเอาไปเช็กโปรโมชั่น เมื่อนวดตัวเสร็จเขาก็เอาบัตรมาคืน และให้เราเซ็น ตนก็แปลกใจ พนักงานเขาก็บอกว่าพี่ตอบตกลงซื้อแล้ว ตรงนี้ตนไม่โอเค เพราะตนไม่ได้ตั้งใจซื้อ ที่เซ็นไปก็เพราะอยากกลับบ้าน เมื่อทบทวนแล้วก็มองว่าราคาแพงมาก นวดหน้า ทรีทเมนท์ที่อื่นราคาหลักร้อย แต่ที่นี่คำนวณแล้วเกือบ 5 พันบาท เบ็ดเสร็จแล้วตนเสียเงินกับคลินิกนี้ไป 1.4 ล้านบาท
ขณะที่ ผู้เสียหายรายอื่น ๆ ให้ข้อมูลในทำนองเดียวกันว่า คลินิกตั้งอยู่บนห้างสรรพสินค้า ทำให้ดูน่าเชื่อถือ มีการอ้างว่าเครื่องมือนำเข้ามาจากต่างประเทศมีคุณภาพ เป็นเครื่องอันดับ 1 ของประเทศ แต่พอไปลองสังเกตดูแล้ว เป็นเครื่องมือธรรมดา เรื่องหมอก็เห็นแค่มีหมอจริงมาแค่วันเสาร์-อาทิตย์ วันอื่น ๆ เห็นเป็นเด็กพนักงานซึ่งไม่แน่ชัดว่าเป็นหมอหรือไม่ การโอนเงินก็โอนเข้าหลายบัญชี เมื่อนำชื่อคลินิกไปตรวจสอบในโลกออนไลน์กลับพบว่า เป็นการหลอกลวง ทางผู้เสียหายจึงเข้ามาร้องทนายโนบิตะ และฝ่ายงานเกี่ยวข้องให้ตรวจสอบคลินิกดังกล่าว ซึ่งหาเป็นคลินิกผิดกฎหมายก็ควรหยุดกิจการ และคืนเงินให้ผู้เสียหาย อย่างไรก็ตามมีผู้เสียหายเคยไปขอเงินคืนแล้วแต่ฝ่ายคลินิกท้าทายให้ไปฟ้องร้องเอา.