กานาเตือนผลผลิตโกโก้ลด ฝนถล่ม-โรคพืชระบาด เสี่ยงฉุดตลาดโลก
ประเทศกานา ซึ่งเป็นผู้ผลิตโกโก้รายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ออกมาเตือนว่า ผลผลิตโกโก้ในฤดูกาล 2024/2025 อาจลดลงจากเป้าหมาย 650,000 เมตริกตัน หลังเกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง แสงแดดไม่เพียงพอ และพบการแพร่ระบาดของเชื้อราในสวนโกโก้หลายแห่งทั่วประเทศ
หน่วยงานกำกับดูแลโกโก้ของกานา หรือ COCOBOD ระบุว่า ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินปริมาณผลผลิตสุดท้าย แต่การประเมินเบื้องต้นชี้ว่า อาจมี “การลดลงในระดับปานกลาง” เมื่อเทียบกับประมาณการเดิม ขณะเดียวกัน ทางหน่วยงานได้เร่งดำเนินมาตรการฉีดพ่นยาและควบคุมโรค เพื่อพยายามจำกัดความเสียหายก่อนถึงช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตสูงสุด
ข้อมูลนี้สอดคล้องกับคำเตือนของสมาคมเกษตรกรกานาที่ออกมาเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า สภาพอากาศที่เย็นชื้นเกินไป ส่งผลให้เชื้อราอย่าง “แบล็กพ็อด” แพร่กระจายได้ง่าย และกำลังทำลายต้นโกโก้จำนวนมากในกว่า 70 เขตเพาะปลูก ซึ่งจะกระทบทั้งผลผลิตและรายได้ของเกษตรกรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ข่าวนี้จะดูเป็นปัญหาภายในประเทศ แต่ผลกระทบอาจลุกลามสู่ตลาดโลก เพราะกานาและไอวอรี่โคสต์ร่วมกันผลิตโกโก้มากกว่า 60% ของโลก หากผลผลิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ย่อมสร้างแรงกดดันต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (commodity price) โดยเฉพาะตลาดโกโก้ ซึ่งปีนี้มีแนวโน้มปรับขึ้นต่อจากปีที่แล้วที่ทำสถิติสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ
บริษัทผู้ผลิตช็อกโกแลตและอาหารรายใหญ่ทั่วโลกอาจต้องแบกรับต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น หรือแม้แต่ปรับราคาสินค้าในอนาคต ขณะเดียวกัน สำหรับประเทศผู้บริโภค ราคาผลิตภัณฑ์อย่างช็อกโกแลต เบเกอรี่ และเครื่องดื่มที่ใช้โกโก้ อาจทยอยปรับขึ้นตามแรงกดดันต้นทุน
นอกจากนี้ ข่าวนี้ยังสะท้อนปัญหาที่ลึกกว่าเรื่องราคาสินค้า นั่นคือ ความเปราะบางของภาคเกษตรภายใต้สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง (climate risk) การที่พืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศต้องเผชิญฝนตกหนัก โรคพืช หรือฝน-แล้งที่ไม่ปกติ คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่แค่กับโกโก้ในกานา แต่รวมถึงกาแฟจากบราซิล ข้าวจากเอเชียใต้ และแม้แต่ทุเรียนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำหรับประเทศไทย แม้จะไม่ได้ปลูกโกโก้ในระดับอุตสาหกรรม แต่เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงบทเรียนสำคัญว่า ภาคเกษตรจะยืนหยัดอยู่ได้ต้องมีระบบรับมือภัยพิบัติที่ดี ทั้งเรื่องการเตือนล่วงหน้า การควบคุมโรคพืช และการกระจายความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน
ภาวะที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ไม่ได้เป็นเพียง "เรื่องของเกษตรกรประเทศหนึ่ง" แต่กำลังกลายเป็นปัญหาทั่วทั้งห่วงโซ่เศรษฐกิจและอาหารโลกที่ทุกประเทศหลีกเลี่ยงไม่ได้