4 เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าและผิวกาย แบบไหนเหมาะกับคุณ?
ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอย และความไม่กระชับของผิวนับเป็นสัญญาณของความเสื่อมตามวัยที่หลายคนกังวล ซึ่งในปัจจุบัน นวัตกรรมด้านความงามได้พัฒนาเทคโนโลยียกกระชับผิวที่หลากหลาย เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดที่มีแผลใหญ่หรือต้องพักฟื้นเป็นเวลานาน บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 4 เทคโนโลยียกกระชับผิวชั้นนำที่ได้รับความนิยม พร้อมวิเคราะห์ข้อดีและความเหมาะสมของแต่ละเทคโนโลยี เพื่อให้คุณเลือกวิธีที่เหมาะกับปัญหาผิวของตัวเองได้อย่างมั่นใจ
เทคโนโลยียกกระชับผิว คืออะไร?
เทคโนโลยียกกระชับผิว คือ นวัตกรรมทางการแพทย์ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวย้วย ผิวไม่กระชับ ริ้วรอย รวมถึงปัญหาไขมันส่วนเกินบางตำแหน่ง โดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัดใหญ่แบบดั้งเดิม เทคโนโลยีเหล่านี้อาศัยหลักการส่งพลังงานความร้อนที่ควบคุมได้ลงไปในชั้นผิวหนังหรือชั้นไขมันใต้ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่ ทำให้ผิวกระชับตัวขึ้น มีความเต่งตึง และลดปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้อย่างเห็นผล
นอกจากนี้ ในบางเทคโนโลยียังสามารถสลายไขมันและกระชับไปพร้อมกันได้ในคราวเดียว ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมปัญหาผิวอย่างรอบด้าน จุดเด่นของเทคโนโลยีกลุ่มนี้คือความเจ็บปวดน้อย มีรอยแผลเล็กหรือไม่มีเลย และใช้เวลาพักฟื้นสั้น จึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากสำหรับคนที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวแต่ไม่พร้อมที่จะรับการผ่าตัดแบบดั้งเดิม
แนะนำ 4 เทคโนโลยียกกระชับผิว
เทคโนโลยียกกระชับผิวมีให้เลือกหลากหลาย แต่ไม่ใช่ทุกเทคโนโลยีจะเหมาะกับทุกปัญหาผิว การเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมจึงขึ้นอยู่กับลักษณะปัญหา ความรุนแรง ตำแหน่งที่ต้องการแก้ไข รวมถึงข้อจำกัดในการพักฟื้นของแต่ละบุคคล มาดูกันว่า 4 เทคโนโลยียกกระชับผิวชั้นนำต่อไปนี้ เทคโนโลยีไหนเหมาะกับปัญหาผิวของคุณ
1. Morpheus8
Morpheus8เป็นนวัตกรรมล้ำสมัยที่ผสานพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency) เข้ากับการใช้เข็มขนาดจิ๋ว เพื่อนำส่งพลังงานลงสู่ชั้นผิวได้อย่างลึกและหลายระดับ ด้วยเทคโนโลยี Multi-Layer Technology ที่สามารถปรับระดับความลึกของการรักษาได้ตั้งแต่ 2-4 มิลลิเมตร ทำให้เข้าถึงทั้งชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง จุดเด่นของ Morpheus8 คือเป็นเทคโนโลยีเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้ครอบคลุมทั้งความหย่อนคล้อย ริ้วรอย รอยแตกลาย รอยแผลเป็น และปัญหาสีผิว ทั้งบริเวณใบหน้าและลำตัว
การทำงานของ Morpheus8 เริ่มจากการปล่อยพลังงานคลื่นความถี่วิทยุผ่านหัวอุปกรณ์ที่มีเข็มทองคำขนาดเล็ก 24 เข็ม (หรือ 40 เข็มสำหรับการรักษาลำตัว) ซึ่งแพทย์สามารถตั้งโปรแกรมความลึกของเข็มและระดับพลังงานได้ตามวัตถุประสงค์การรักษา พลังงานจะถูกส่งถึงชั้นผิวที่ต้องการแก้ไขได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ก่อให้เกิดความร้อนที่จะทำร้ายผิวชั้นบน จึงไม่เกิดรอยไหม้หรือรอยดำหลังการรักษา
นอกจากการยกกระชับผิวแล้ว Morpheus8 ยังมีประสิทธิภาพในการทำให้ชั้นไขมันใต้ผิวหดตัว ช่วยให้ผิวที่เสื่อมสภาพตามอายุกลับมามีความอ่อนเยาว์ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่ และทำให้เกิดการจัดเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนในชั้นผิวหนังแท้ (Dermal Remodeling) รวมถึงชั้นไขมันใต้ผิว ซึ่งทำให้ผลลัพธ์การยกกระชับมีความเป็นธรรมชาติและยาวนาน โดยเทคโนโลยีนี้ได้รับการรับรองจาก U.S. FDA ว่าเป็นเทคโนโลยีที่สามารถส่งพลังงานลงลึกที่สุดอย่างปลอดภัย
2. BodyTite Pro
BodyTite Pro เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวและสลายไขมันรุ่นใหม่ที่พัฒนาต่อยอดจากเครื่อง BodyTite ดั้งเดิม โดยใช้หลักการของพลังงานคลื่นความถี่วิทยุแบบ Radio Frequency Assisted Liposuction (RFAL) ที่ช่วยทั้งสลายไขมันและกระชับผิวได้พร้อมกัน ตัวเครื่อง BodyTite Pro มีการปรับปรุงประสิทธิภาพให้สูงขึ้น พร้อมฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลายด้วย Handpiece 3 แบบที่มีขนาดต่างกัน ช่วยให้สามารถเข้าถึงการรักษาได้ในทุกตำแหน่ง แม้ในจุดที่เข้าถึงยาก เช่น นมน้อย ปีกหลัง ต้นขาด้านใน ก้น และหัวเข่า
การทำงานของ BodyTite Pro แบ่งเป็นสองส่วนหลัก คือการยกกระชับผิวและการสลายไขมัน โดยใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุแบบ Bipolar ที่วิ่งไปมาระหว่างหัวอุปกรณ์ด้านบนและด้านล่าง ตัวเครื่องให้ความร้อนที่ 40-60 องศาเซลเซียส ซึ่งทำให้บริเวณใต้ผิวหนังมีความร้อนสูงกว่าผิวด้านบน ช่วยให้สลายไขมันใต้ผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ทำให้ผิวไหม้ นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังสามารถปรับระดับความลึกได้ตั้งแต่ 5-50 มิลลิเมตร ตามความหนาของชั้นไขมันแต่ละบุคคล
BodyTite Pro ยังมีข้อดีที่สำคัญคือสามารถต่อท่อสำหรับทำการดูดไขมันได้ ทำให้เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาไขมันส่วนเกินเยอะและต้องการลดขนาดไปพร้อมกับการกระชับผิว เช่น การดูดไขมันหน้าท้องพร้อมกระชับผิวท้องที่หย่อนคล้อย โดยที่แผลมีขนาดเล็กมากและใช้เวลาพักฟื้นน้อย การันตีด้วยการรับรองมาตรฐานจาก U.S. FDA ทำให้มั่นใจได้ทั้งในแง่ผลลัพธ์และความปลอดภัย
3. ACCUtite
ACCUtite เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวและสลายไขมันที่ใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency Assisted Lipolysis หรือ RFAL) เช่นเดียวกับ BodyTite Pro แต่มีความโดดเด่นที่หัวอุปกรณ์ขนาดเล็กที่สุดในกลุ่มเครื่อง RFAL ทั้งหมด ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการรักษาบริเวณที่มีขนาดเล็กและเข้าถึงยาก เช่น บริเวณถุงใต้ตา เหนียง ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และนมน้อย ACCUtite ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก U.S. FDA ว่ามีความปลอดภัยในการยกกระชับผิวบริเวณที่เข้าถึงยาก โดยไม่ต้องผ่าตัดและลดระยะเวลาการพักฟื้นให้สั้นลง
จุดเด่นของ ACCUtite อยู่ที่ Handpiece หรือหัวของเครื่องที่ออกแบบมาพิเศษให้มีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ ทำให้แพทย์สามารถจับถนัดและควบคุมการรักษาได้อย่างแม่นยำ หัวอุปกรณ์แบ่งเป็นสองส่วน ได้แก่ หัวแบนด้านบนที่ใช้สำหรับส่งพลังงาน RF เพื่อรักษาผิวหนังที่หย่อนคล้อย และหัวทู่ด้านล่างที่ใช้สอดเข้าไปใต้ผิวเพื่อสลายไขมัน หัวทู่นี้มีขนาดความยาว 6 เซนติเมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 0.9 มิลลิเมตรเท่านั้น ทำให้หลังการรักษาแทบไม่เห็นรอยแผลเป็น
วัสดุของหัว ACCUtite ถูกออกแบบให้สามารถปล่อยพลังงาน RF ได้อย่างสม่ำเสมอและอ่อนโยนต่อผิว ไม่ก่อให้เกิดอาการผิวไหม้ แม้จะรักษาในบริเวณที่มีผิวบางเช่นรอบดวงตา เมื่อพลังงานถูกส่งไปยังชั้นใต้ผิวหนัง ไขมันส่วนเกินจะถูกสลายและกำจัดออกอย่างถาวร ทำให้บริเวณที่มีปัญหาเช่นเหนียงหรือกระพุ้งแก้มมีขนาดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับการกระชับผิวให้เต่งตึงขึ้นในคราวเดียวกัน
4. FaceTite
FaceTite เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวใบหน้าและลำคอโดยเฉพาะ ที่พัฒนามาจากการสลายไขมันแบบ BodyTite โดยใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency Assisted Lipolysis หรือ RFAL) เพื่อแก้ไขปัญหาไขมันและผิวหย่อนคล้อยพร้อมกัน จุดเด่นของ FaceTite คือการมีหัวอุปกรณ์ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับโครงสร้างใบหน้าและลำคอโดยเฉพาะ มีขนาดเล็กกว่า BodyTite ทำให้แผลหลังทำมีขนาดเล็กมาก และผู้เข้ารับการรักษาใช้เวลาพักฟื้นน้อยลง
การทำงานของ FaceTite อาศัยการส่งพลังงาน RF แบบ Bipolar ผ่าน Handpiece ขนาดเล็กที่มีความยาว 10 เซนติเมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 1.3 มิลลิเมตร ทำให้แผลหลังการรักษามีขนาดเล็กมาก หัวของเครื่องประกอบด้วย External Electrode (หัวแบนด้านบน) และ Internal Electrode (หัวทู่ที่สอดเข้าไปใต้ผิวหนัง) ซึ่งทั้งสองส่วนจะให้ความร้อนที่ควบคุมได้ระหว่าง 40-60 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมสำหรับการกระชับผิวโดยไม่เป็นอันตราย
เมื่อความร้อนจาก FaceTite แพร่กระจายสู่ผิวหนัง ไขมันใต้ผิวจะเกิดการแตกตัว ทำให้บริเวณที่มีความย้วยจากไขมันเช่นใต้คางหรือกรอบหน้ามีความลีนขึ้น ขณะเดียวกัน เส้นใยที่ยึดเกาะผิวหนังด้านล่าง (Fibroseptal Network หรือ FSN) จะเกิดการหดตัว ส่งผลให้ผิวมีความแน่นและกระชับขึ้น นอกจากนี้ ความร้อนยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนและเต่งตึงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ปัญหาเหนียงและหน้าบานจึงได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องผ่านการผ่าตัดใหญ่แบบการทำ facelift ดั้งเดิม
สรุปบทความ
เทคโนโลยียกกระชับผิวในปัจจุบันมีความหลากหลายและมีประสิทธิภาพสูงในการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทั้ง Morpheus8, BodyTite Pro, ACCUtite และ FaceTite ล้วนเป็นนวัตกรรมที่ใช้พลังงานความร้อนในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเสริมความแข็งแรงให้ผิว โดยแต่ละเทคโนโลยีจะเหมาะกับปัญหาผิวและบริเวณที่ต้องการรักษาต่างกันไป Morpheus8 เหมาะสำหรับปัญหาผิวที่หลากหลายทั้งใบหน้าและลำตัว BodyTite Pro เหมาะกับผู้ที่มีไขมันส่วนเกินมากและต้องการสลายไขมันพร้อมกระชับผิว ส่วน ACCUtite และ FaceTite จะเหมาะกับการรักษาบริเวณที่มีขนาดเล็กและเข้าถึงยาก โดยเฉพาะใบหน้า ลำคอ และเหนียง การเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการและปลอดภัยที่สุด