ทำไมต้องให้การศึกษาแก่เด็กข้ามชาติ? จากกรณีเด็กอายุ 13 โดนแจ้งจับเพราะเป็นคนกัมพูชา
ภาพของเด็กนักเรียนชายอายุ 13 ปี สวมชุดลูกเสือและยืนกอดคุณครูกลางสถานีตำรวจในจังหวัดสุรินทร์ หลังถูกแจ้งข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวและมีตำรวจเข้าจับกุมตัวหลังเคารพธงชาติ อาจเป็นภาพที่ทำให้หลายคนรู้สึกสะเทือนใจ เมื่อคิดว่าเด็กคนหนึ่งตื่นเช้าไปโรงเรียนเช่นทุกๆ วัน แต่กลับต้องเจอสถานการณ์อันไม่ตั้งตัว ทั้งยังถูกปฏิบัติราวกับมีความผิด
ขณะเดียวกันเหตุการณ์นี้ก็เปิดประเด็นถกเถียงเรื่องสิทธิการศึกษาของเด็กต่างชาติในประเทศไทยขึ้นมาอีกครั้ง รวมไปถึงความคิดเห็นต่างของผู้คนด้วย
เรื่องนี้เป็นหัวข้อที่สร้างความรู้สึกหลากหลายในใจคน ในช่วงที่ความขัดแย้งระหว่างไทยกัมพูชายังปรากฏให้เห็น หลายคนแสดงความไม่สบายใจ ด้วยเหตุผลเรื่องการแบ่งปันทรัพยากรของชาติให้แก่คนชาติอื่น --ในที่นี้คือเด็กต่างชาติ ที่มีแม่เป็นคนกัมพูชา แต่เติบโตและใช้ชีวิตที่ไทยตั้งแต่จำความได้โดยไม่เคยกลับไปที่กัมพูชาเลย -- หลายคนตั้งคำถามว่า ทำไมเราต้องดูแลเด็กที่ไม่ได้มีสัญชาติเดียวกับเราด้วย ไปจนถึงการที่เราทุ่มเทงบประมาณเพื่อพวกเขา จะไม่เป็นการแย่งชิงโอกาสของลูกหลานคนไทยหรอกหรือ
การพูดคุยถึงเรื่องนี้ ยังต้องรวมไปกับเหตุการณ์ที่ว่า ไม่นานมานี้มีตัวแทนสมาชิกวุฒิสภา (สว.) คนหนึ่งออกมาแถลงให้รัฐบาลพิจารณาปรับลดโครงการความช่วยเหลือด้านการศึกษาที่ไทยมอบให้กับเด็กข้ามชาติโดยทั่วไป โดยกล่าวพาดพิงถึงเด็กจากประเทศกัมพูชา และเหตุรุนแรงบริเวณชายแดนไทยกัมพูชาด้วย
หากเรามองภาพของเด็กในชุดลูกเสือผ่านม่านหมอกของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น คำถามคัดค้านเช่นที่อธิบายไว้ด้านบนอาจส่งเสียงดังในใจใครหลายคน แต่เรื่องนี้ยังมีมุมมองด้านอื่นๆ ที่เราร่วมกันมองได้
ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย ข้อตกลงระหว่างประเทศ ที่มีรากฐานทางมนุษยธรรมอยู่เบื้องหลัง รวมไปถึงมุมมองที่เกี่ยวข้องกับ ‘พลัง’ ของการมอบโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินไทย ว่ามันไม่ได้เป็นการ ‘ลงทุนที่เสียเปล่า’ อย่างที่หลายคนกังวล แต่คือสิ่งที่จะออกดอกผลเป็นศักยภาพบนสังคมไทยได้เช่นกัน
สิทธิทางกฎหมายและหลักมนุษยธรรม: เด็กต่างชาติมีสิทธิเรียนในไทยด้วยหรือ?
การให้การศึกษาแก่เด็กต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นเด็กกัมพูชาหรือชาติอื่นๆ ไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลไทยทำไปโดยไม่มีหลักการรองรับ แต่เป็นพันธกรณีภายใต้กฎหมาย ข้อตกลงระหว่างประเทศ หรือกรอบความร่วมมือต่างๆ ซึ่งเป็นการขีดเส้นให้หน่วยงานต่างๆ ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อตกลงเหล่านี้ ยกตัวอย่าง เช่น
หลักสิทธิมนุษยชน มติคณะรัฐมนตรี 5 กรกฎาคม 2548
รับรองว่าเด็กทุกคน ไม่ว่าจะมีสัญชาติหรือสถานะทางกฎหมายใด มีสิทธิได้รับการศึกษาขึ้นพื้นฐาน เป็นการปูทางให้เด็กๆ ที่ยังไม่มีเอกสารรับรองตัวตนเข้าถึงการศึกษาได้ แนวคิดนี้ถูกเรียกว่า Education for All หรือการศึกษาเพื่อปวงชน
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของเด็กที่ยังต้องรอการพิสูจน์สถานะทางทะเบียนและสัญชาติ จะได้รับเลขประจำตัวนักเรียนโดยกระทรวงศึกษาฯ ขึ้นต้นด้วยตัวอักษร G และตามด้วยเลข 12 หลัก เป็นที่มาของการเรียกเด็กกลุ่มนี้ว่า ‘เด็กรหัส G’ กรณีนี้โรงเรียนสามารถส่งเรื่องตรวจสอบสถานะ และหากพบว่าไม่มีหลักฐานเรื่องสัญชาติหรือทะเบียนจากประเทศต้นทาง จะต้องทำบัตรเลข 0 ให้เด็กใช้ถือแสดงตนก่อน แต่หากมีหลักฐานจากประเทศต้นทาง โรงเรียนมีหน้าที่ส่งเรื่องขอทำหนังสือผ่านแดน หรือทำหนังสือเดินทางขอวีซ่าให้เด็กเข้าเรียน
นอกจากนี้ยังมีข้อกฎหมายที่รับรองด้วยว่าขณะที่อยู่ในการติดตามสถานะ กระทั่งคนที่รอส่งตัวกลับ สามารถให้เด็กนักเรียนอยู่เพื่อเรียนก่อนได้ นั่นคือ ม.54 ใน พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ (UN Convention on the Rights of the Child - CRC)
ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาฉบับนี้เมื่อปี 2535 โดยมีหลักการสำคัญเรื่องการ ‘ไม่เลือกปฏิบัติ’ และถือเอาประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นที่ตั้ง (Best Interest of the Child) อนุสัญญาฯ ระบุอย่างชัดเจนในข้อ 28 ว่ารัฐต้องรับรองสิทธิของเด็กที่จะได้รับการศึกษา และจะต้องจัดให้มีขึ้นบนพื้นฐานของโอกาสที่เท่าเทียมกัน
รัฐธรรมนูญ
นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับการศึกษาโดยตรง รัฐธรรมนูญไทยยังบัญญัติเรื่องการห้ามเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ โดยเฉพาะเหตุผลที่เกี่ยวเนื่องกับเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง หรือความเชื่อทางศาสนาด้วย
หลักการเหล่านี้ทำให้การศึกษาและมาตรการปฏิบัติต่อ ‘เด็ก’ ไม่ได้เป็นเพียง ‘สิทธิ’ แต่เป็น ‘พันธะ’ หรือหน้าที่ที่รัฐบาลต้องดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าเด็กทุกคนที่อยู่ในแผ่นดินไทยจะได้รับการคุ้มครองและพัฒนาอย่างเหมาะสม
ทำความเข้าใจกับความกังวล: ประเทศไทยได้อะไรจากการให้เด็กต่างชาติมีโอกาสเรียน?
เป็นเรื่องปกติที่หลายคนจะมีความกังวลว่า การจัดสรรงบประมาณเพื่อการศึกษาของเด็กต่างชาติ อาจทำให้งบประมาณสำหรับเด็กไทยลดลง หรือมองว่าเด็กเหล่านี้อาจเป็น ‘ภาระ’ ในอนาคต มุมมองนี้มาจากความปรารถนาดีที่ต้องการให้ทรัพยากรของชาติถูกใช้อย่างคุ้มค่า
แต่ในทางกลับกัน การมองเรื่องนี้ในมิติที่กว้างขึ้นจะพบว่า การลงทุนเพื่อการศึกษาของเด็กทุกคนคือยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาประเทศ
เป็นการสร้างทรัพยากรบุคคล
เด็กต่างชาติที่เติบโตและได้รับการศึกษาในไทย มักจะซึมซับภาษา วัฒนธรรม และทักษะต่างๆ ที่จำเป็นในการทำงานและใช้ชีวิตในสังคมไทย พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของกำลังแรงงานที่สำคัญ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยแรงงานจำนวนมาก การศึกษาจึงเป็นการยกระดับคุณภาพของแรงงานและเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
การให้โอกาสทางการศึกษาเป็นการสร้างความเข้าใจและลดความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติ เมื่อเด็กได้เรียนรู้และเติบโตมาด้วยกันในโรงเรียน พวกเขาจะเกิดความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ลดอคติ และเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมได้ ยังต้องนับด้วยว่าในกรณีที่เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ วิธีที่ประเทศไทยปฏิบัติต่อเด็กนักเรียนต่างชาติ จะแสดง ‘ท่าที’ ของเราในมิติระหว่างประเทศด้วย
ตัวอย่างจาก กทม.ชี้ให้เห็นประโยชน์ของการให้การศึกษา
รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร. ศานนท์ หวังสร้างบุญ ได้โพสต์ข้อมูลเรื่องการศึกษาของเด็กต่างชาติในกรุงเทพฯ ผ่านเพจ ‘หวังสร้างเมือง’ พร้อมย้ำถึงเจตนารมณ์ และสื่อสารกับโรงเรียนและครูในสังกัด กทม.ถึงวัตถุประสงค์ของนโยบายเรื่องการเปิดโอกาสทางการศึกษา แม้จะเป็นข้อมูลเฉพาะภายในกรุงเทพฯ แต่ก็เป็นกรณีศึกษาที่ทำให้เห็นแง่มุมที่น่าสนใจ
ในโพสต์ระบุว่า เด็กไทยเป็นกลุ่มที่ได้รับความสำคัญในนโยบายการศึกษา และมีโรงเรียนเพียงพอ โดยกทม.มีโรงเรียนทั้งหมด 437 โรงเรียน ส่วนใหญ่เป็นอนุบาลและประถม รองรับเด็กได้เกือบ 300,000 คน และปัจจุบันมีเด็กเรียนอยู่ 256,703 คน
จากการดำเนินงานที่ผ่านมาพบว่าการรับเด็กต่างชาติที่อาศัยในไทยช่วยทำให้ผู้ปกครองขึ้นทะเบียนถูกกฎหมาย เพราะทุกครั้งที่รับเข้าเรียน โรงเรียนต้องตรวจใบอนุญาตทำงาน พาสปอร์ต และเอกสารยืนยันตัวตน สิ่งนี้ทำให้ครอบครัวต่างชาติหลายครอบครัวเข้าสู่ระบบที่ถูกต้อง
รองผู้ว่าฯ ยังระบุถึงแนวคิดการให้การศึกษาไว้ด้วยว่า “การทำให้ทุกคนได้รับการศึกษาไม่ใช่การช่วยเหลือ “เขา” อย่างเดียว แต่คือการช่วย “เรา” ด้วยครับ เหมือนที่ครูประไพจากศูนย์เมอร์ซี่คลองเตยเคยเล่าไว้ว่า เมื่อเด็ก ๆ ได้เรียนหนังสือ ปัญหาอาชญากรรมลดลง สังคมก็สงบขึ้น ครอบครัวก็แข็งแรงขึ้น พวกนี้ไม่ใช่การช่วยเหลือเขาคนเดียว แต่ช่วยเหลือเรา สังคมดีขึ้น ทุกคนก็ดีขึ้นไปด้วย เป็นการเสียทรัพยากรเพื่อให้การศึกษา ดีกว่าเสียงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมต่างๆ ในอนาคต"
เมื่อพิจารณาในมุมมองเหล่านี้ จะพบว่าการเปิดรับเด็กต่างชาติเข้ามาในระบบการศึกษาไทยไม่ใช่การแบ่งงบประมาณที่ทำให้เด็กไทยเสียโอกาส แต่เป็นการสร้างสังคมที่แข็งแรงขึ้นกว่าเดิม การยอมรับและมอบโอกาสให้กับเพื่อนมนุษย์โดยไม่แบ่งแยกสัญชาติ คือการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับอนาคตของสังคมไทยโดยรวม เพราะความมั่นคงอาจไม่ได้อยู่ที่การปิดกั้น แต่คือการโอบรับและสร้างสรรค์โอกาสให้กับผู้คนที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้
อ้างอิง :
https://theactive.thaipbs.or.th/news/law-rights-20250824
https://www.facebook.com/share/p/1D3rQ49PXV/
https://www.thairath.co.th/news/local/2879410
บทความต้นฉบับได้ที่ : ทำไมต้องให้การศึกษาแก่เด็กข้ามชาติ? จากกรณีเด็กอายุ 13 โดนแจ้งจับเพราะเป็นคนกัมพูชา
บทความที่เกี่ยวข้อง
- "ผู้คนมากมายกระเสือกกระสนในการใช้ชีวิต และผมอยากซื่อสัตย์กับประเด็นนี้ที่สุด" ว่าด้วยภาษาหนังอันน่าอึดอัดและขันขื่นของ ‘พัค ชานอุค’ ผู้กำกับหนังเกาหลีแห่งศตวรรษที่ 21
- ขอต้อนรับเข้าสู่ยุค ‘Happily Ever After’ ว่าด้วยจักรวาลชีวิตและความรักของเทย์เลอร์ สวิฟต์
- เลือกตั้งพม่า 2025 คือทางออกจากวิกฤติ หรือเดินหน้าสู่สงครามยืดเยื้อ?
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath