โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

ย้อนเส้นทาง “เตะถ่วง” เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ของพรรคเพื่อไทย

iLaw

อัพเดต 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา • iLaw

หลังการเลือกตั้ง 2566 พรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคเพื่อไทยแยกตัวออกมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ในแถลงการณ์แยกตัวออกของพรรคเพื่อไทยมีการเขียนประเด็นร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในฐานะหนึ่งในนโยบายหลักที่รัฐบาลเพื่อไทยจะผลักดัน และวันที่ 11 กันยายน 2566 เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา โดยในคำแถลงนั้นมีการพูดถึงการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในฐานะนโยบายเร่งด่วนด้วย แม้จะถูกบรรจุเป็นวาระเร่งด่วนแต่ก็มีกระบวนการเตะถ่วงทอดเวลาการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนี้

ตั้งคณะกรรมการศึกษาประชามติ

ต่อมาวันที่ 3 ตุลาคม 2566 เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (คณะกรรมการศึกษาแนวทางทำประชามติ) คณะกรรมการดังกล่าวใช้เวลาทำงานถึงวันที่ 25 ธันวาคม 2566 หรือ 2 เดือน 23 วัน จึงมีการแถลงสรุปผล แต่กลับไม่ได้ทำให้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นชัดเจนขึ้น มากไปกว่านั้น เวลาที่เสียไปจากการศึกษายิ่งทำให้การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทอดเวลาออกไปอีก

เฉพาะประเด็นเรื่องจำนวนครั้งของการทำประชามติ ก่อนหน้านี้ในปี 2564 ศาลรัฐธรรมนูญเคยมี คำวินิจฉัยที่ 4/2564 สรุปว่า รัฐสภามีหน้าที่และอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ และเขียนชัดเจนว่า ต้องทำประชามติสองครั้ง นอกจากนี้หากดูคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเก้าคนที่วินิจฉัยในคดีนี้พบว่า เสียงข้างมาก หกคน เห็นว่าต้องทำประชามติสองครั้ง สองคนเห็นว่า จะต้องทำประชามติสามครั้ง ขณะที่เสียงข้างน้อย หนึ่งคนเขียนชัดว่า รัฐสภาไม่มีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เลย จึงมีความชัดเจนไม่จำเป็นต้องถกเถียงต่อในเรื่องจำนวนครั้งของการทำประชามติอีก

ท้ายที่สุด คณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติข้อมีข้อสรุปเสนอคณะรัฐมนตรีให้ทำประชามติสามครั้ง โดยภูมิธรรมกล่าวว่าเรื่องของงบประมาณเป็นเรื่องรองเพราะการร่างรัฐธรรมนูญใหม่สำคัญที่สุด หมายความว่าประชาชนจะต้องเข้าคูหาอย่างน้อยสามครั้งเพื่อให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ไปจนสุดทาง

ถามศาลรัฐธรรมนูญซ้ำซาก

แม้ว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ชัดเจนเรื่องจำนวนครั้งของการทำประชามติแล้ว แต่รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยยังคงยื่นเรื่องถามศาลรัฐธรรมนูญซ้ำซากได้แก่ วันที่ 29 มีนาคม 2567 รัฐสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในรายละเอียดอีกว่า รัฐสภามีอำนาจบรรจุและพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยยังไม่มีการออกเสียงประชามติได้หรือไม่ และถามลงในรายละเอียดของขั้นตอนการทำประชามติ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องระบุว่า วินิจฉัยโดยละเอียดและชัดเจนแล้ว

วันที่13 กุมภาพันธ์ 2568 ระหว่างนี้สมาชิกรัฐสภาเกิด “ข้อสงสัย” ในประเด็นหน้าที่และอำนาจการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภาอีกครั้ง กังขาในรายละเอียดจำนวนครั้งและขั้นตอนของการทำประชามติ โดยพยายามจะยื่นญัตติด่วนขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเพิ่มเติมในรายละเอียดอีกรอบและนำมาสู่เกมสภาล่มสองวันติด

ญัตติด่วนทั้งสองญัตติของเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา และวิสุทธิ์ ไชยณรุณ พรรคเพื่อไทยเป็นญัตติที่มีรายละเอียดคำถามที่คล้ายคลึงกับคำถามตามญัตติของชูศักดิ์ ศิรินิล พรรคเพื่อไทยที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัยในปี 2567 พยายามขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความจำนวนครั้งและขั้นตอนการทำประชามติเพื่อเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ โดยยังยึดคำถามหลักเดิมที่ว่า รัฐสภาจะดำเนินการการเกี่ยวกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 โดยไม่มีผลประชามติก่อนได้หรือไม่

ต่อมาวันที่ 17 มีนาคม 2568 ที่ประชุมรัฐสภามีมติส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่และการประชามติ “ก่อน” เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ต้องทำในขั้นตอนใด ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะมีนัดวินิจฉัยคดีดังกล่าว

ทำทีละอย่าง ไม่เร่งรัดกระบวนการ

เนื่องจากพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 กำหนดให้ต้องใช้ “เสียงเกินกึ่งหนึ่งสองชั้น” เป็นเงื่อนไข ทำให้มีความกังวลจากรัฐบาลว่าผู้ออกมาใช้เสียงอาจจะไม่ถึงกึ่งหนึ่งและทำให้ประชามติไม่ผ่าน สส. บางส่วนจึงเสนอให้มีการแก้ไข พ.ร.บ. ประชามติฯ ก่อนที่จะทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยระยะเวลาที่นานขึ้น

เดือนพฤษภาคม 2567 คณะรัฐมนตรีเสนอ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และสภาผู้แทนราษฎรมีมติผ่านร่างในเดือนสิงหาคม 2567โดยยกเลิกหลักเกณฑ์การออกเสียงประชามติแบบเสียงข้างมากสองครั้งและให้ใช้หลักเกณฑ์เสียงข้างมาธรรมดา ซึ่งเมื่อสภาผู้แทนราษฎรส่งร่างดังกล่าวให้วุฒิสภาพิจารณาสว.มีความเห็นว่า ควรคงหลักเกณฑ์การออกเสียงประชามติแบบเสียงข้างมากสองชั้นเอาไว้ ทำให้สส.ต้องกลับมาพิจารณาร่างที่สว.แก้ไขอีกครั้ง เมื่อสส.ไม่เห็นชอบตามที่สว.ที่แก้ไข ทำให้ต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภาพิจารณาอีกครั้ง และกมธ.ร่วมดังกล่าวมีมติเสียงข้างมากให้คงหลักเกณฑ์การออกเสียงประชามติแบบเสียงข้างมากเอาไว้ ทำให้ร่างพ.ร.บ.ประชามติฯต้องถูกยับยั้งไว้ 180 วัน

ระหว่างนี้รัฐบาลและประธานรัฐสภากลับไม่เร่งบรรจุวาระร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่โดยสสร.ที่มาจากการเลือกตั้ง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก iLaw

จุดยืน “แก้รัฐธรรมนูญ” ของภูมิใจไทย 2562-2568 จากตัวขัดขวาง โดดมารับเงื่อนไข

7 ชั่วโมงที่ผ่านมา

นัดฟังคำพิพากษาคดีมาตรา 112 เดือนกันยายน 2568

17 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความการเมืองอื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม