จุดยืน “แก้รัฐธรรมนูญ” ของภูมิใจไทย 2562-2568 จากตัวขัดขวาง โดดมารับเงื่อนไข
ในภูมิทัศน์การเมืองไทยที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง พรรคภูมิใจไทยได้สถาปนาตัวเองในฐานะพรรคขนาดกลาง “ผู้มีอำนาจต่อรองสูง” ที่มีบทบาทสำคัญต่อความอยู่รอดของทุกรัฐบาล นั่นทำให้ที่ผ่านมาพรรคภูมิใจไทยดูเหมือนเป็นพรรคที่ได้ประโยชน์อย่างสูงกับรัฐธรรมนูญ 2560 ดังจะเห็นได้ว่า จุดยืนและทางปฏิบัติของพรรคในประเด็น “การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560” ดูจะผันแปรไปตามบริบทและสมการอำนาจ
นอกจากนี้เมื่อพรรคภูมิใจไทยกับสว. สีน้ำเงินมีความสัมพันธ์กัน และกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องง้อเสียงของสว. อย่างน้อย 1 ใน 3 ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือทางการเมืองชิ้นสำคัญที่อยู่ในมือของพรรคภูมิใจไทยมาเสมอ
ช่วงที่ 1: ร่วมรัฐบาลประยุทธ์ ‘แก้ไขพอเป็นพิธี’ และใช้ศาลเป็นเกราะกำบัง
หลังการเลือกตั้งปี 2562 พรรคภูมิใจไทยได้สส. 51 ที่นั่ง และเข้าร่วมกับรัฐบาลของพรรคพลังประชารัฐเพื่อเสนอพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ต่อมามีสส. เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากปรากฏการณ์ "ดูดสส." มาจากพรรคอนาคตใหม่หรือพรรคก้าวไกล จึงเติบโตขึ้นเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอันดับสอง ด้วยนโยบายเด่นคือการ "ปลดล็อกกัญชา" และถือภาพลักษณ์สนใจเรื่อง “พรรคปากท้อง” โดยไม่ได้ชูธงเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากสังคม พรรคภูมิใจไทยก็วางตนให้มีภาพลักษณ์ที่ดี ยอมรับการแก้ไขเรื่องอำนาจของสว. ชุดที่มาจากการแต่งตั้งของคสช. และจุดยืนของพรรคเป็นเพียงการเคลื่อนไหวในเชิงที่มุ่ง “แก้ไขพอเป็นพิธี” โดยไม่แตะต้องโครงสร้างหลักที่สืบทอดอำนาจให้ คสช. และเอื้อประโยชน์ต่อสถานะของตัวเอง
เหตุการณ์สำคัญ
1. ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ยื้อเวลาแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดย สสร.
18 พฤศจิกายน 2563: พรรคภูมิใจไทยลงมติ “ไม่รับหลักการ” ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (100,732 รายชื่อ) ซึ่งเสนอให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ทำให้ร่างฉบับนี้ตกไป
17 มีนาคม 2564: ในการลงมติวาระ 3 ของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้มี สสร. ซึ่งเสนอโดยพรรคร่วมรัฐบาลเอง (นำโดยพรรคพลังประชารัฐ) และผ่านวาระ 1 และ 2 มาแล้ว พรรคภูมิใจไทยกลับไม่ร่วมลงคะแนนเสียงทำให้ร่างดังกล่าวตกไปในที่สุด
มีนาคม 2564: เหตุที่พรรคภูมิใจไทยไม่เข้าร่วมลงมติวาระ 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พวกเขาอ้างว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 4/2564 ว่าการร่างใหม่ทั้งฉบับต้องทำ “ประชามติ” ถามประชาชนก่อน คำวินิจฉัยที่คลุมเครือนี้ได้กลายเป็นเกราะกำบัง ที่พรรคภูมิใจไทยใช้เป็นข้ออ้างเพื่อยับยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
2. คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชน
17 พฤศจิกายน 2564: รัฐสภามีมติไม่รับหลักการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “รื้อระบอบประยุทธ์” ที่เสนอโดยกลุ่ม Re-Solution และประชาชนเข้าชื่อกัน 135,247 รายชื่อ ซึ่งมีข้อเสนอที่ท้าทายโครงสร้างอำนาจเดิมอย่างยิ่ง เช่น ยกเลิกวุฒิสภา (ให้เหลือสภาเดี่ยว), ปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ, และลบล้างผลพวงรัฐประหาร โดย สส. ฝ่ายรัฐบาลซึ่งรวมถึงพรรคภูมิใจไทย ได้ลงมติไม่รับหลักการเป็นส่วนใหญ่
7 ธันวาคม 2565: รัฐสภามีมติคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “ปลดล็อกท้องถิ่น” ที่เสนอโดยประชาชนเข้าชื่อกัน 76,591 รายชื่อ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อกระจายอำนาจและงบประมาณสู่ท้องถิ่น โดย สส. ฝ่ายรัฐบาลซึ่งรวมถึงพรรคภูมิใจไทย ได้ลงมติไม่รับหลักการ ทำให้ร่างตกไป
3. เสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขพอเป็นพิธี
- 22-23 มิถุนายน 2564: ท่ามกลางการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญถึง 13 ฉบับในรัฐสภา พรรคภูมิใจไทยยื่นร่างของตนเองสองฉบับ คือ แก้ไขยุทธศาสตร์ชาติให้ยืดหยุ่นขึ้น และเพิ่มหลักประกันรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า ซึ่งผลการลงมติไม่ผ่านวาระหนึ่งทั้งสองฉบับ แม้จะแสดงท่าทีสนับสนุนการ “ปิดสวิตช์ สว.” ที่ยกเลิกมาตรา 272 เรื่องอำนาจของสว. ในการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมเรียกร้องสูง แต่จุดยืนที่แท้จริงของพรรคกลับสะท้อนผ่านการกระทำในภาพรวมที่ไม่ได้ต้องการรื้อโครงสร้างอำนาจ
ช่วงที่ 2: ร่วมรัฐบาลเพื่อไทย ใช้คำสั่งศาลเป็น ‘อาวุธ’ ขวางแก้รัฐธรรมนูญ
เมื่อเปลี่ยนขั้วมาอยู่กับรัฐบาลเพื่อไทย ซึ่งมีนโยบายสำคัญคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรคภูมิใจไทยได้เข้าร่วมรัฐบาลซึ่งหมายความรับในนโยบายสำคัญนี้ แต่ในทางปฏิบัติเปลี่ยนจุดยืนมาเป็นผู้ขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างเปิดเผย โดยนำเอาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้กลายเป็น “อาวุธ” ที่ใช้ต่อสู้ในทุกสมรภูมิของกระบวนการนิติบัญญัติ
เหตุการณ์สำคัญ
1. พ.ร.บ.ประชามติฯ: ภูมิใจไทยยืนหนึ่งหนุนเกณฑ์ ‘เสียงข้างมากสองชั้น’: ด่านแรกคือการแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติฯ ซึ่งกฎหมายเดิมกำหนดเกณฑ์ที่ทำให้ประชามติผ่านยาก คือต้องใช้ “เสียงข้างมากสองชั้น” (Double Majority) ซึ่งหมายถึง 1) ผู้มาใช้สิทธิต้องเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิทั้งประเทศ และ 2) ต้องได้เสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ และร่างฉบับของรัฐบาลพยายามแก้ไขเรื่องนี้ ซึ่งผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฏรแล้ว แต่วุฒิสภากลับไม่เห็นด้วย และเห็นแย้งกับสส. ขอให้กลับไปใช้หลักการเสียงข้างมากสองชั้นในการทำประชามติตามเดิม
วันที่ 18 ธันวาคม 2567 ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลส่วนใหญ่ รวมทั้งพรรคฝ่ายค้านต่างต้องการปลดล็อกกติกาการทำประชามติให้ง่ายขึ้น จึงลงมติไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของสว. พรรคภูมิใจไทยกลับเป็นพรรคเดียวในฟากรัฐบาลที่ลงมติ “เห็นชอบ” กับร่างของวุฒิสภาที่ยังคงเกณฑ์สุดหินนี้ไว้ เป็นการโหวตสวนมติวิปรัฐบาลอย่างชัดเจน
แกนนำพรรคได้อภิปรายสนับสนุนเกณฑ์สองชั้นอย่างแข็งขัน โดยให้เหตุผลว่า เป็นการสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งการที่สว. มีความเห็นแตกต่างจากสส. ครั้งนี้ทำให้กระบวนการแก้ไขพ.ร.บ.ประชามติฯ ลากยาวเพิ่มอีกกว่า 8 เดือน และกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่ได้เริ่มต้นขึ้น
2. Walk Out ไม่แก้รัฐธรรมนูญให้ตั้ง สสร. อ้างขัดศาลรัฐธรรรมนูญ: วันที่13 กุมภาพันธ์ 2568 รัฐสภามีการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อตั้ง สสร. เข้าสู่สภา ไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรค ได้ลุกขึ้นประกาศจุดยืน ก่อนนำ สส. ทั้งหมด Walk Out เดินออกจากห้องประชุม
“ในฐานะตัวแทนในนามของตัวแทนสมาชิกรัฐสภา ในสังกัดพรรคภูมิใจไทยทั้งหมด มีความคิดเห็นว่าวาระที่จะถูกพิจารณาหลังจากนี้นั้น เข้าขั้นที่จะผิดและขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จึงขออนุญาตไม่เข้าร่วมพิจารณา”
ทั้งนี้วันที่ 12 กุมภาพันธ์ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็ได้ให้สัมภาษณ์ยืนยันมติของพรรค โดยหยิบยกเอาความสุ่มเสี่ยงทางกฎหมายจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2564 มาเป็นเหตุผลหลักในการไม่ร่วมแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ โดย สสร.
“พรรคภูมิใจไทย มีมติไม่ร่วมพิจารณาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ … การที่บรรจุวาระเข้ามายังมีความขัดแย้งกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญปี 2564 ซึ่งระบุว่า ต้องมีการถามประชามติจากพี่น้องประชาชนก่อน เมื่อการพิจารณาวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้น ขั้นตอนการทำประชามติยังไม่ได้รับการปฎิบัติ พรรคภูมิใจไทยเห็นว่ามีความสุ่มเสี่ยง พรรคไม่สามารถที่จะไปรับความเสี่ยงนั้นได้… เราไม่ได้ขวางรัฐธรรมนูญ แต่เราต้องการแก้รัฐธรรมนูญ โดยที่ถูกต้องตามบทบัญญัติ เราไม่ต้องการทำผิดกฎหมาย”
3. ยื่นศาลสองครั้งเพื่อถ่วงเวลา: ทั้งนี้ความเห็นที่แตกต่างของพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคการเมืองหลักอย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย นำมาสู่ในวันที่ 17 มีนาคม 2568 พรรคร่วมรัฐบาลลงมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเกี่ยวกับจำนวนครั้งของการทำประชามติเป็นรอบที่สาม ซึ่งถูกมองว่าเป็นการถ่วงเวลาการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้ง เนื่องจากก่อนหน้านี้ ช่วงเดือนมกราคม 2567 พรรคร่วมรัฐบาลเคยลงมติส่งเรื่องถามศาลรัฐธรรมนูญว่า รัฐสภาจะบรรจุวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยที่ยังไม่ได้มีการทำประชามติได้หรือไม่ โดยศาลไม่รับคำร้องเนื่องจากเคยวินิจฉัยไว้โดยละเอียดและชัดเจนแล้ว
ช่วงที่ 3: เดิมพันเก้าอี้นายกฯ พลิกกลับ 180 องศา ยอมรับ ‘ทุกเงื่อนไข’
สถานการณ์พลิกผัน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคม 2568 ทำให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจ และราคาของการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เปลี่ยนไปทันที
เหตุการณ์สำคัญ
29 สิงหาคม 2568พรรคประชาชนในฐานะพรรคอันดับหนึ่ง ได้แถลงการณ์ “ผ่าทางตัน” โดยเสนอว่าจะสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หากยอมรับเงื่อนไข 3 ข้อ คือ
ยุบสภาภายใน 4 เดือน
จัดทำประชามติเพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดย สสร.
พรรคประชาชนจะไม่เข้าร่วมรัฐบาล
ในวันเดียวกัน อนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย ได้เข้าหารือกับแกนนำพรรคประชาชน และได้ประกาศยอมรับเงื่อนไขทั้ง 3 ข้อในทันที ท่าทีของอนุทินเปลี่ยนไปจากเมื่อหกเดือนก่อนตอนที่ Walk Out อย่างสิ้นเชิง ความกังวลต่างๆ ที่เคยค้างคาใจได้หายไป ประเด็นเรื่องหมวด 1-2 ก็ไม่ถูกหยิบยกมาพูดถึง เขากล่าวกับสื่อมวลชนหลังการเจรจาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“จากพูดคุยกับนายณัฐพงษ์ (เรืองปัญญาวุฒิ) ก็เห็นพ้องโดยไม่มีข้อสงสัยโดยเฉพาะการยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน รวมถึงยังเห็นพ้องกับทุกเงื่อนไขของพรรคประชาชนโดยจากนี้จะไปหารือกับสมาชิกพรรคก่อน”