สรุปเงื่อนไข “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ลงทะเบียนรับสิทธิ์ “1 ก.ค.นี้”
เปิดตัวให้ลงทะเบียนรับสิทธิ์แล้วอย่างเป็นทางการ กับโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยเฉพาะช่วงโลว์ซีซัน (ก.ค.-ก.ย.) โดยรัฐบาลให้สิทธิ์ประชาชนเข้าร่วมโครงการ 500,000 สิทธิ์ และเริ่มลงทะเบียน 1 กรกฎาคม 2568 เวลา 08.00 น. ผ่านทาง www.เที่ยวไทยคนละครึ่ง.com และ แอปพลิเคชัน Amazing Thailand
สรุปขั้นตอนการรับสิทธิ์สำหรับประชาชนทั่วไป และผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ ต้องทำอย่างไรบ้าง
คุณสมบัติของประชาชนที่สามารถใช้สิทธิ์โครงการ "เที่ยวไทยคนละครึ่ง"
1. ต้องมีบัตรประจำตัวประชาชน และเป็นบุคคลสัญชาติไทย
2. มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน
3.ลงทะเบียนผ่าน Thai ID Application เพื่อยืนยันตัวตนเท่านั้น
เมื่อลงทะเบียนและได้รับสิทธิ์แล้ว สามารถใช้สิทธิ์ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค.– 31 ต.ค.2568 ยกเว้นจังหวัดที่อยู่ในทะเบียนบ้านของตนเอง
ส่วนผู้ประกอบการ ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เปิดให้ลงทะเบียนได้ ตั้งแต่วันที่ 25-30 มิ.ย. 2568 ผ่านทางเว็บไซต์ https://www.เที่ยวไทยคนละครึ่ง.com
เงื่อนไขในการใช้สิทธิ์ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง”
สิทธิ์ที่ 1 ได้รับส่วนลด “ค่าที่พัก”
• รัฐบาลสนับสนุนค่าที่พักสูงสุด 50% ต่อห้องต่อคืน (ไม่เกิน 3,000 บาท)
- วันธรรมดา (จันทร์-ศุกร์) รัฐสนับสนุน 50% ประชาชนจ่ายเอง 50% (ไม่เกิน 3,000 บาท)
- วันหยุดและวัดหยุดนักขัตฤกษ์ รัฐสนับสนุน 40% ประชาชนจ่ายเอง 60 % (ไม่เกิน 3,000 บาท)
• จำกัดสิทธิ์คนละไม่เกิน 5 ห้อง หรือ 5 คืน โดยเมืองหลัก 3 สิทธิ์ และเมืองรอง หรือเมืองน่าเที่ยว 2 สิทธิ์
• เมื่อจองที่พักแล้ว ไม่สามารถยกเลิกได้ แต่สามารถเลื่อนวันเข้าพักได้ (ตามเงื่อนไขของสถานประกอบการ)
สิทธิ์ที่ 2 รับ “คูปองดิจิทัล 500 บาท” เป็นส่วนลดค่าอาหาร / ท่องเที่ยว / บริการอื่นๆ
เมื่อเช็กอินเข้าพักแล้ว จะได้รับคูปองแบบดิจิทัล มูลค่า 500 บาท โดยคูปองดังกล่าว สามารถนำใช้ได้ที่ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวและบริการ ที่เข้าร่วมโครงการ โดยประชาชนชำระ 50% และรัฐบาลสนับสนุนอีก 50% ผ่านการตัดเงินจากคูปอง
ทั้งนี้คูปองดังกล่าว สามารถนำใช้ได้ ห่างจากที่พักไม่เกิน 100 กม. และคูปองจะหมดอายุเวลา 23:00 น. ของวันที่เช็กเอาต์ และไม่สามารถใช้ในจังหวัดตามทะเบียนบ้านได้
การ “รับ-จ่าย” เงินโครงการ
สำหรับผู้ประกอบการ จะต้องใช้บัญชีธนาคารกรุงไทย สําหรับรับเงินจากลูกค้า ส่วนเงินสมทบจากภาครัฐ จะเงินโอนเงินภายใน 14 วันทําการ
ส่วนนักท่องเที่ยว สามารถชําระค่าสินค้า/บริการ ด้วยระบบ Prompt Pay ของธนาคารใดก็ได้