หุ้นไทยพุ่ง 20 จุด พุ่งแรงสุดในเอเชีย หลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งนายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ โบรกเชื่อคลายกังวลงบฯ ปี 69 ชะงัก
ดัชนีหุ้นไทย (SET) บวก 20.45 จุด หรือ 1.88% มาปิดที่ 1,110.01 จุด ปรับตัวขึ้นร้อนแรงสุดในภูมิภาคเอเชีย หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (7 ต่อ 2) สั่งให้ แพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568
ภายหลังคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยและสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้แพทองธารในฐานะผู้ถูกร้อง ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน โดยระหว่างนี้ไปจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยได้มีคำสั่งห้ามผู้ถูกร้องใช้หน้าที่และอำนาจด้านความมั่นคง, การต่างประเทศ และการคลัง
ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ. เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ เปิดเผยว่า ภายหลังคำสั่งศาลฯ ทำให้แรงกดดันทางการเมืองต่อตลาดหุ้นไทยลดลงมาก โดยเฉพาะแรงกดดันจากการชุมนุมขับไล่นายกฯ
ระหว่างนี้ทุกคนน่าจะรอการตัดสินของศาลฯ ซึ่งคาดว่าอาจจะใช้เวลาร่วม 2 เดือน คล้ายกับกรณีของ เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ
“ภายใน 2 เดือนนี้ ทำให้งบประมาณปี 2569 น่าจะผ่านการประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ค่อนข้างแน่ ส่วนการหยุดปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯ หรือไม่นั้น ไม่น่าจะมีผลแตกต่างกับเศรษฐกิจ” ประกิตกล่าว
อย่างไรก็ดี แม้ตลาดจะฟื้นตัวได้ร้อนแรงในวันนี้ แต่ประกิตเชื่อว่าจะเป็นการฟื้นตัวรับข่าวในระยะสั้น หลังจากนั้นความเสี่ยงจะไปอยู่ที่การเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่าอาจจะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ถือเป็นความเสี่ยงต่อหุ้นไทยในระยะถัดไป
ด้าน สรพล วีระเมธีกุล หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล. กสิกรไทย มองว่า หลังจากดัชนี SET ปรับตัวลงมาต่อเนื่องจน Price to Book Value (P/BV) มาอยู่ใกล้กับ 1 เท่า ที่ระดับ 1,050 จุด ถือเป็นแนวรับที่สำคัญ
“ดัชนี SET เคยหลุดลงไปต่ำกว่า P/BV 1 เท่า แค่ครั้งเดียว ตั้งแต่ปี 2552 หลังจากนั้น ไม่ว่าจะเผชิญกับการรัฐประหาร ยุบสภา น้ำท่วม หรือแผ่นดินไหว ดัชนี SET ไม่เคยลงไปต่ำกว่าระดับนี้” สรพลกล่าว
สิ่งสำคัญคือ พ.ร.บ. งบประมาณปี 2569 ว่าจะล่าช้าออกไปหรือไม่ หากไม่มีปัจจัยใดๆ เข้ามากระทบ เชื่อว่า SET จะไม่ร่วงลงไปต่ำกว่า P/BV 1 เท่า หรือที่ระดับ 1,050 จุด แต่ถ้ามีเหตุให้ พ.ร.บ. งบประมาณ ปี 69 ต้องเลื่อนออกไป จะทำให้ SET มีความเสี่ยงจะร่วงลงไปได้อีก
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 3 ให้น้ำหนักหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจโลก เช่น KCE, PTTGC และ BANPU ส่วนกลุ่มที่ต้องระวังคือหุ้นกลุ่มค้าปลีกและธนาคาร ซึ่งอาจถูกกระทบจากเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว