สรุปข่าวต่างประเทศ ประจำวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2568
สรุปข่าวต่างประเทศ ประจำวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2568
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -27 มิ.ย. 68 8:38: น.
*** สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) ปิดที่ 65.24 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 32 เซนต์ หรือ 0.49%
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ ปิดที่ 67.73 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 5 เซนต์ หรือ 0.07%
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เนื่องจากการลดลงของสต็อกน้ำมันดิบในสหรัฐฯ จากการที่ความต้องการเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูขับขี่ ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านอุปทานในตะวันออกกลางคลี่คลายลง ช่วยชดเชยการเพิ่มขึ้นของราคาบางส่วน
*** อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน อ้างชัยชนะในสงครามกับอิสราเอล และกล่าวว่าการเข้าแทรกแซงของสหรัฐฯ ไม่ได้ส่งผลอะไรเลย โดยนับเป็นความเห็นแรกของผู้นำอิหร่าน นับตั้งแต่การหยุดยิงมีผลบังคับใช้เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา อิหร่านได้รับชัยชนะและได้ตบหน้าสหรัฐฯ อย่างแรง สหรัฐฯ ไม่ได้รับความสำเร็จใด ๆ จากสงครามครั้งนี้ โดยความเห็นดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางการประเมินที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการโจมตีของสหรัฐฯ โดยเจ้าหน้าที่ยุโรปเชื่อว่า คลังยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูงของอิหร่านยังคงอยู่ครบถ้วนเป็นส่วนใหญ่
*** นายฮาวเวิร์ด ลุตนิค รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯระบุว่า สหรัฐฯ และจีน ได้บรรลุข้อตกลงทางการค้าที่ตกลงกันไว้เมื่อเดือนที่แล้วที่กรุงเจนีวาแล้ว พร้อมเสริมว่าทำเนียบขาวมีแผนที่จะบรรลุข้อตกลงกับ 10 คู่ค้าสำคัญในไม่ช้านี้ โดยข้อตกลงกับจีน ถือเป็นการบัญญัติเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ รวมถึงข้อผูกมัดจากจีนในการส่งมอบแร่หายาก
ทางด้านทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจขยายเส้นตายที่กำลังจะมาถึงสำหรับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจากประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก โดยแคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกประจำทำเนียบขาวกล่าวว่า เส้นตายวันที่ 8 และ 9 ก.ค. ที่ทรัมป์กำหนดไว้สำหรับการเรียกเก็บภาษีใหม่กับประเทศเหล่านั้น ไม่ใช่เรื่องสำคัญ พร้อมเสริมว่า อาจมีการขยายออกไปได้ แต่เป็นการตัดสินใจของประธานาธิบดี
อีกทั้งยังระบุว่า หากประเทศเหล่านั้นปฏิเสธที่จะทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ภายในเส้นตาย ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็สามารถเสนอข้อตกลงให้กับประเทศเหล่านี้ได้ง่าย ๆ นั่นหมายความว่าประธานาธิบดี สามารถเลือกอัตราภาษีตอบโต้ที่เขาเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ และต่อแรงงานชาวอเมริกัน
*** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า การที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ควบคุมได้ เท่ากับว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ควรจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้แล้ว แต่ภายในธนาคารกลางสหรัฐฯ เอง แนวคิดดังกล่าวยังไม่ได้รับการสนับสนุนมากนัก โดยมีผู้กำหนดนโยบายของเฟดเพียง 2 คนเท่านั้น ที่เปิดรับความเป็นไปได้ในการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนก.ค. ส่วนที่เหลือยังคงไม่เชื่อมั่นอย่างชัดเจน
*** นักลงทุนกล่าวว่า ช่องว่างระหว่างการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ณ สิ้นปี 2026 กับการคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยที่รุนแรงกว่าที่ตลาดการเงินคาดไว้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความคาดหวังว่า นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ จะถูกแทนที่ด้วยบุคคลในสาย Dovish ซึ่งสนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้นในปีหน้า อย่างไรก็ตาม ได้เตือนว่าอย่าเพิ่งสรุปว่าการเปลี่ยนแปลงผู้นำของเฟด จะนำมาซึ่งการผ่อนคลายนโยบายมากเท่าที่ตลาดและประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ คาดหวัง
*** จำนวนชาวอเมริกัน ที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่โอกาสในการหางานทำกำลังลดน้อยลง เนื่องจากภาคธุรกิจยังลังเลที่จะจ้างงานเพราะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่อัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นในเดือนมิ.ย. โดยยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 10,000 ราย มาอยู่ที่ 236,000 ราย สำหรับสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 21 มิ.ย. ขณะที่ยอดผู้รับสวัสดิการต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 37,000 ราย มาอยู่ที่ 1.974 ล้านราย ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 14 มิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2021 และนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าอัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.3% ในเดือนมิ.ย. จาก 4.2% ในเดือนพ.ค. โดยมีความเสี่ยงที่จะเพิ่มขึ้นถึง 4.4%
*** เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสแรก หดตัวเร็วกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เล็กน้อย ท่ามกลางการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ซบเซา ซึ่งตอกย้ำถึงความบิดเบือนที่เกิดจากมาตรการภาษีที่รุนแรงของรัฐบาลทรัมป์ต่อสินค้านำเข้า โดยสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจ (BEA) รายงานในการประมาณการ GDP ครั้งที่ 3 ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ลดลง 0.5% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับลดลงจากที่เคยรายงานว่าลดลง 0.2% โดยการปรับทวนครั้งนี้สะท้อนถึงการชะลอการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.5% แทนที่จะเป็น 1.2% ตามที่เคยรายงาน
*** ราคาหุ้นของ Core Scientific Inc. ทะยานขึ้นถึง 32% หลังมีรายงานว่า CoreWeave Inc. กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลรายนี้ โดยข้อตกลงอาจจะสามารถสรุปได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า หากไม่มีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้น โดย CoreWeave เคยยื่นข้อเสนอเข้าซื้อ Core Scientific มาแล้วเมื่อปีที่แล้ว โดยเสนอราคาประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเวลานั้น ขณะเดียวกัน ทั้ง 2 บริษัทยังได้ประกาศสัญญาระยะ 12 ปี ซึ่ง Core Scientific จะจัดหาโครงสร้างพื้นฐานประมาณ 200 เมกะวัตต์ เพื่อรองรับการดำเนินงานของ CoreWeave
*** Walmart แถลงว่า บริษัทกำลังจะปิดศูนย์กระจายสินค้าที่ให้บริการคำสั่งซื้อออนไลน์สำหรับ Sam's Club ซึ่งเป็นเครือข่ายคลังสินค้าของ Walmart ในเมืองฟอร์ตเวิร์ธ รัฐเท็กซัส โดยการเคลื่อนไหวครั้งนี้อาจส่งผลให้เกิดการเลิกจ้างงาน แต่ยังไม่สามารถประเมินจำนวนการเลิกจ้างที่เป็นไปได้ จนกว่าพนักงานจะตัดสินใจเรื่องการย้ายที่ทำงาน
*** Trump Organization ยกเลิกการอ้างอิงว่าสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่วางแผนเปิดตัวจะผลิตในสหรัฐฯ ท่ามกลางข้อสงสัยว่าสมาร์ทโฟนดังกล่าวจะสามารถผลิตในสหรัฐฯ ได้ตามราคาที่ตั้งไว้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม โฆษกของ Trump Organization ซึ่งเป็นเจ้าของโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ยังคงยืนยันว่าโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้จะผลิตในสหรัฐฯ
ในเดือนนี้ Trump Organization เปิดตัว T1 ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนสีทองที่มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 499 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมประกาศเปิดตัวแบนเนอร์บนหน้าแรกของเว็บไซต์บริษัทระบุว่า โทรศัพท์ T1 ที่ ผลิตในสหรัฐฯ พร้อมให้สั่งจองล่วงหน้าแล้ว แต่ปัจจุบัน คำกล่าวอ้างเกี่ยวกับสถานที่ผลิตโทรศัพท์ดังกล่าวได้ถูกลบออกไปทั้งหมดแล้ว
*** หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน เรียกร้องให้ธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (AIIB) เพิ่มการสนับสนุนโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน ซึ่งคำกล่าวดังกล่าว มีขึ้นในพิธีเปิดการประชุมประจำปีครั้งที่ 10 ของธนาคาร AIIB ท่ามกลางการลดการสนับสนุนของสหรัฐฯ ต่อสถาบันที่นำโดยชาติตะวันตก เช่น ธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ผมหวังว่า AIIB จะยึดมั่นในการเปิดกว้างระดับภูมิภาค และยืนหยัดในการส่งเสริมการเชื่อมโยงและการสื่อสารระหว่างประเทศในเอเชียและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก พร้อมเสริมว่า สิ่งสำคัญคือต้องเสริมสร้างการทำงานร่วมกันระหว่างธนาคารกับโครงการ Belt and Road Initiative และ Global Development Initiative
*** เสียวหมี่ (Xiaomi Corp.) ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนยักษ์ใหญ่จากจีน เปิดตัวรถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) รุ่น YU7 ราคา 253,500 หยวน (ประมาณ 35,360 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งตั้งเป้าท้าชน Tesla Model Y ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง โดยนาย Lei Jun ผู้ก่อตั้งเสียวหมี่ ได้โจมตี Tesla อย่างตรงไปตรงมาในงานเปิดตัว โดยนำรถยนต์รุ่นใหม่ของเขามาเปรียบเทียบกับ Model Y คล้ายกับที่เขามักจะนำอุปกรณ์ Mi ไปเปรียบเทียบกับ iPhone ซึ่งราคาของ YU7 เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และเทียบเคียงได้กับ Model Y ของ Tesla รุ่นล่าสุด ที่ราคา 263,500 หยวน ซึ่งเป็นรถ SUV ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในจีน และเป็นรุ่นที่ Lei Jun ตั้งเป้าทำยอดขายแซงหน้า
*** อัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคพื้นฐานในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่น ชะลอตัวลงอย่างรวดเร็วในเดือนมิ.ย. เนื่องจากมีการปรับลดค่าสาธารณูปโภคลงชั่วคราว แต่ยังคงสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลาง (BOJ) อย่างมาก ซึ่งทำให้ตลาดยังคงคาดการณ์ถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของกรุงโตเกียว ซึ่งไม่รวมต้นทุนอาหารสดที่มีความผันผวน เพิ่มขึ้น 3.1% ในเดือนมิ.ย.จากปีก่อนหน้า ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 3.3% โดยชะลอตัวลงจากการเพิ่มขึ้น 3.6% ในเดือนพ.ค. ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการกลับมาอุดหนุนเชื้อเพลิงและการลดค่าน้ำชั่วคราว ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยครัวเรือนรับมือกับอากาศในช่วงฤดูร้อน
ขณะที่ดัชนีแยกต่างหาก ที่ตัดทั้งต้นทุนอาหารสดและเชื้อเพลิงออก ซึ่งเป็นมาตรวัดที่ BOJ ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพิ่มขึ้น 3.1% ในเดือนมิ.ย.จากปีก่อนหน้า หลังเพิ่มขึ้น 3.3% ในเดือนพ.ค.
*** กิจกรรมในตลาดทุนตราสารทุนของฮ่องกง กลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 โดยได้รับแรงหนุนจากนักลงทุนทั่วโลกที่หันมาสนใจจีนมากขึ้น ขณะที่ฮ่องกงกำลังรอการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ Shein ที่เป็นไปได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยการระดมทุนก้อนใหญ่และการเร่งทำข้อตกลง A to H share ซึ่งเป็นกรณีที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดจีนเข้ามาจดทะเบียนในฮ่องกง ช่วยฟื้นตลาดที่เคยซบเซาและนำไปสู่ผลงานที่แข็งแกร่งที่สุดในครึ่งแรกของปีนับตั้งแต่ปี 2021
*** Nike แถลงว่าจะลดการพึ่งพาการผลิตในประเทศจีน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และคาดการณ์ว่ารายรับในไตรมาสแรกจะลดลงน้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้น 11% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ โดยผู้บริหารของ Nike กล่าวว่า มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจเพิ่มต้นทุนให้กับ Nike ประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน กล่าวว่า รองเท้า Nike ที่ผลิตในจีน มีสัดส่วนการนำเข้ามายังสหรัฐฯ คิดเป็น 16% ซึ่งบริษัทตั้งเป้าที่จะลดสัดส่วนดังกล่าวให้เหลือ ช่วงเปอร์เซ็นต์เลขหลักเดียว ภายในสิ้นเดือนพ.ค. 2026 โดยจะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น ๆ
รายงาน โดย สิริพงศ์ สิริชุมศรี เรียบเรียง โดย Supak Hopuengju
อีเมล์. supak@efinancethai.com
ดูข่าวต้นฉบับ