Anthropic ไม่สู้ราคาแย่งวิศวกร AI ซีอีโอชี้ วัฒนธรรมองค์กรดีๆ ซื้อไม่ได้ด้วยเงิน
วงการปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในปัจจุบันคล้ายกับลีกกีฬาชั้นนำ ที่แต่ละทีมต่างแย่งตัวนักเตะระดับโลกกันอย่างเข้มข้น เพียงแต่สนามแข่งขันเปลี่ยนจากสนามฟุตบอล มาเป็นสมองของวิศวกร และคุณค่าที่แต่ละบริษัทเลือกจะให้ความสำคัญก็แตกต่างกันไป
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Meta (บริษัทแม่ของ Facebook), Google และ OpenAI (ผู้พัฒนา ChatGPT) กำลังทุ่มเงินมหาศาลเพื่อแย่งชิง “วิศวกรระดับหัวกะทิ” ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเอไอให้มาเข้าร่วมทีม
บางรายถึงขั้นเสนอค่าตัวพนักงานพร้อมโบนัสเซ็นสัญญาแตะระดับร้อยล้านดอลลาร์ หรือหลายพันล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงมากจนแทบเหนือจินตนาการ
สาเหตุที่บริษัทต่างๆ ยอมจ่ายเงินสูงขนาดนี้ เนื่องจากวิศวกรเอไอที่มีความสามารถระดับสูงมีจำนวนจำกัดมาก ในขณะที่ความต้องการของตลาดกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การได้วิศวกรเก่งๆ มาร่วมทีมจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดความสำเร็จของบริษัทในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางเกมประมูลที่ดุเดือดนี้ มีบริษัทหนึ่งที่เลือกเดินออกจากโต๊ะเจรจา และประกาศจุดยืนชัดเจนว่า “เราจะไม่เข้าร่วมสงครามราคา” บริษัทนั้นคือ Anthropic ผู้พัฒนาแชตบอต Claude
ดาริโอ อาโมเดอี (Dario Amodei) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Anthropic ซึ่งเป็นอดีตผู้บริหารระดับสูงของ OpenAI ก่อนจะลาออกมาก่อตั้งบริษัทของตัวเองในปี 2021 ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการพอดแคสต์ Big Technology ว่า “บริษัทจะไม่ยอมให้วัฒนธรรมองค์กรถูกทำลายเพราะสงครามแย่งตัวคนเก่งด้วยเงิน”
เขาเล่าว่า พนักงานหลายคนในบริษัทเคยได้รับข้อเสนอจากบริษัทใหญ่ๆ ที่ให้ตัวเลขระดับที่คนทั่วไปอ่านแล้วต้องขยี้ตา บางคนได้โบนัสเซ็นสัญญาสูงถึง 100 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 3,500 ล้านบาท
แทนที่จะเข้าร่วมการแข่งขันด้วยตัวเลข Anthropic เลือกใช้ระบบเงินเดือนแบบ “กำหนดตามระดับ” หรือ level-based compensation หมายความว่า ไม่ว่าคุณจะมีทักษะการต่อรองเก่งแค่ไหน หรือได้รับข้อเสนองานจากที่อื่นมาเท่าไร คุณก็จะได้รับค่าตอบแทนตามระดับความสามารถและประสบการณ์จริงๆ ที่บริษัทประเมินไว้ ไม่ใช่ตามสิ่งที่สามารถต่อรองได้ในขณะนั้น
“ถ้า มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (ซีอีโอของ Meta) ปาเป้าไปที่บอร์ดรายชื่อพนักงาน แล้วบังเอิญโดนชื่อคุณ นั่นไม่ได้แปลว่าคุณควรได้เงินเดือนมากกว่าคนข้างๆ ถึง 10 เท่า ทั้งที่เขากับคุณมีความสามารถเท่าๆ กัน” อาโมเดอีใช้คำอุปมานี้เพื่ออธิบายความไม่ยุติธรรมที่อาจเกิดขึ้น
นี่คือ “ความบิดเบี้ยว” ทางเศรษฐกิจและสังคมที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นในบริษัทตนเอง เพราะมันจะบ่อนทำลายขวัญกำลังใจของคนในทีม สร้างความแปลกแยกระหว่างพนักงาน และทำลายวัฒนธรรมองค์กรที่สร้างมาจากความเสมอภาค ความยุติธรรม และความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
สิ่งที่น่าสนใจกว่าก็คือ มีพนักงานหลายคนใน Anthropic ปฏิเสธข้อเสนอเหล่านั้น บางคนถึงขั้นบอกว่า “ไม่คุยกับซักเคอร์เบิร์กด้วยซ้ำ” เมื่อได้รับการติดต่อจาก Meta
เหตุผลหลักที่พนักงานเหล่านี้ตัดสินใจอยู่ต่อ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่สนใจเงิน แต่เพราะพวกเขาเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์และพันธกิจของ Anthropic มากกว่าแค่ตัวเลขในบัญชีธนาคาร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการสร้างความหมายและจุดประสงค์ในการทำงานมีความสำคัญไม่แพ้การให้ผลตอบแทนทางการเงิน
อาโมเดอีอธิบายว่า เหตุการณ์นี้กลับกลายเป็น “จุดรวมพลัง” ของทีมอย่างไม่คาดคิด เพราะมันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า Anthropic เป็นพื้นที่ของคนที่มีความศรัทธาและความเชื่อมั่นในเป้าหมายร่วมกัน ไม่ใช่แค่ศูนย์รวมของคนที่มาหาเงินเดือนสูงๆ เท่านั้น
ในขณะที่ Anthropic ยืนกรานไม่เล่นเกมแย่งตัวด้วยเงิน บริษัท Meta กลับยืนยันจุดยืนในทิศทางตรงกันข้าม การแถลงผลประกอบการครั้งล่าสุด บริษัทยืนยันหนักแน่นว่า กำลังมุ่งมั่นสร้างทีมพัฒนาเอไอที่เก่งที่สุดในโลก และเน้นย้ำว่าเพิ่งได้นักพัฒนาระดับแถวหน้าเข้ามาร่วมทีมแบบจัดเต็ม
กลยุทธ์ของ Meta สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อที่ว่า การได้ “คนเก่ง” มาร่วมงานด้วยเงินมากๆ จะช่วยให้บริษัทชนะการแข่งขันในระยะยาว ขณะที่ Anthropic เชื่อว่า การมีทีมงานที่มีจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกันจะสำคัญกว่า
คำถามที่เหลือคือ แนวทางไหนจะประสบความสำเร็จในระยะยาว? การใช้เงินแย่งตัวคนเก่ง หรือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งและยั่งยืน? คำตอบอาจจะชัดเจนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อผลลัพธ์จากทั้งสองแนวทางเริ่มปรากฏให้เห็น
อ้างอิง: Business Insider และ The Economic Times