“Meta-Google-Amazon-Microsoft” เดินเกมนิวเคลียร์ หวังเสริมพลังงานมั่นคงในยุค AI
Meta, Google, Amazon และ Microsoft ตั้งเป้าจัดหาพลังงานจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รวม 14 ล้านกิโลวัตต์ภายในปี 2040 หลังพลังงานหมุนเวียนตอบโจทย์ไม่ทันศูนย์ข้อมูล AI ที่ต้องใช้ไฟ 24 ชั่วโมง
วันที่ 4 สิงหาคม 2568 เวลา 00.50 น. สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐกำลังหันไปจัดหาพลังงานจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มากขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์ (AI)
Meta, Google, Amazon และ Microsoft วางแผนจัดหาพลังงานนิวเคลียร์รวม 14 ล้านกิโลวัตต์ภายในปี 2040 ตามแผนการจัดหาพลังงานของบริษัท ซึ่งมากกว่ากำลังการผลิตจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ยังดำเนินการอยู่ในญี่ปุ่นในปัจจุบัน 13 ล้านกิโลวัตต์ โดยบริษัทเหล่านี้ไม่เพียงแค่ลงนามในสัญญาซื้อไฟฟ้ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังมีแผนสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็ก (SMRs) เองอีกด้วย
การเร่งจัดหาพลังงานนิวเคลียร์นี้เกิดจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของ AI เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) โดยสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดว่าศูนย์ข้อมูลในสหรัฐจะใช้ไฟฟ้ามากขึ้นถึง 130% ภายในปี 2030 เมื่อเทียบกับปัจจุบัน
ในอดีต บริษัทเทคโนโลยีมักพึ่งพาพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ แต่พลังงานเหล่านี้มีความผันผวนสูง ไม่เหมาะกับศูนย์ข้อมูลที่ต้องเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง จึงทำให้บริษัทเหล่านี้เริ่มหันมามองพลังงานนิวเคลียร์มากขึ้น
Meta เปิดเผย ในเดือนมิถุนายนว่าได้ลงนามในสัญญาซื้อไฟฟ้าเป็นระยะเวลา 20 ปี กับบริษัท Constellation Energy ของสหรัฐฯ เพื่อซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในรัฐอิลลินอยส์ตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไป โดยโรงไฟฟ้าแห่งนี้เดิมมีกำหนดเลิกใช้งานในปี 2570 แต่ข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยต่ออายุใบอนุญาตและดำเนินการต่อไป
ในขณะเดียวกัน Constellation ยังมีแผนจะนำเตาปฏิกรณ์หน่วยที่ 1 ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Three Mile Island ในรัฐเพนซิลเวเนียกลับมาเดินเครื่องอีกครั้ง โดยจะขายพลังงานที่ได้ให้กับMicrosoft ใช้ในศูนย์ข้อมูลของตน Amazon เองก็มีแผนลงทุนอย่างน้อย 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในศูนย์ข้อมูลในรัฐเดียวกัน และจะตั้งศูนย์เหล่านี้ใกล้กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพื่อรับไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ยังมีแผนจะสร้าง SMR ของตนเอง ซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่แบบเดิม โดย Amazon วางแผนสร้าง SMRs กำลังผลิตรวมกว่า 5 ล้านกิโลวัตต์ภายในปี 2039 ร่วมกับ X-Energy Reactor บริษัทผู้พัฒนา SMR ของสหรัฐ ขณะที่ Google ก็มีแผนสร้าง SMRs รวม 500,000 กิโลวัตต์ภายในปี 2035 ร่วมกับสตาร์ทอัพ
SMRs มีต้นทุนการก่อสร้างต่ำกว่าระบบเดิม เนื่องจากสามารถผลิตชิ้นส่วนสำคัญ เช่น แกนปฏิกรณ์ และเครื่องควบคุมแรงดัน ในโรงงานก่อนนำไปติดตั้งในพื้นที่จริง
ความพยายามผลักดัน SMRs ในสหรัฐคาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทญี่ปุ่น เช่น IHI ซึ่งลงทุนใน NuScale Power บริษัท SMR ของอเมริกา และ Hitachi ที่พัฒนาร่วมกับ GE Vernova จากสหรัฐ
ในปี 2567 พลังงานนิวเคลียร์คิดเป็นเพียง 18% ของสัดส่วนพลังงานในสหรัฐ ซึ่งต่ำกว่าหลายประเทศ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากอุบัติเหตุที่ Three Mile Island เมื่อปี 1979 ที่ทำให้การก่อสร้างเตาปฏิกรณ์ใหม่ชะลอตัว ขณะที่กฎความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้นหลังเหตุการณ์ฟุกุชิมะในปี 2011 ก็ทำให้ต้นทุนการก่อสร้างในสหรัฐสูงขึ้น
อย่างไรก็ดีรัฐบาลภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงสนับสนุนพลังงานนิวเคลียร์ โดยเขาได้ลงนามในคำสั่งบริหารเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อเร่งฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงการลดระยะเวลาพิจารณาโครงการใหม่ และอนุญาตให้สามารถสร้างโรงไฟฟ้าในพื้นที่ของรัฐบาลกลางได้
อ้างอิง : asia.nikkei.com