กัมพูชาอาจไม่เหมือนทุกวันนี้ ถ้า'พระสีสุวัตถิ์ มุนีเรศ'ได้เป็นกษัตริย์
ในหนังสือ "ไทยสถาปนากษัตริย์เขมร" ได้กล่าวไว้ว่า ประเทศไทยเป็นผู้ครอบครองดินแดนเขมรมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยในรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ตั้งแต่พุทธศักราช 1975 สืบมาจนกึงกรุงรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งเป็นรัชสมัยที่ประเทศไทยมีอาณาเขตกว้างขวางมากที่สุด พระองค์ก็ได้สถาปนานักพระองค์เอง ราชบุตรบุญธรรม ขึ้นเป็นกษัตริย์ครองดินแดนเขมรเมื่อพุทธศักราช 2337" และ "ประเทศไทยได้ดูแลและให้ความคุ้มครองแก่กษัตริย์เขมร ชนชาวเขมร มาตั้งแต่แรกจนถึงองค์สมเด็จพระนโรดมฯ กษัตริย์เขมรผู้ยินยอมทำสัญญาอยู่ใต้อำนาจฝรั่งเศสโดยถูกบีบบังคับ"
ทั้งนี้ยังกล่าวว่า "เรื่องราวของกษัตริย์เขมรยุ่งยากมาก สมดังที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงพระปิยมหาราชทรงพระราชข้อวินิจฉัยไว้ว่า เกิดแตกแยกขึ้นเป็นสามก๊กในราชวงศ์เขมร คือ พระนโรดมก๊กหนึ่ง พระศรีสวัสดิ์ก๊กหนึ่ง นักองค์วัตถาก๊กหนึ่ง ผลของการแตกแยก คือ ต้องเสียเมืองให้แก่ฝรั่งเศสในที่สุด"
หลังจาเสียเมืองให้ฝรั่งเศสแล้ว ไทยไม่ได้สถาปนากษัตริย์เขมรอีก เพราะเป็นหน้าที่ของ "เจ้านายใหม่" คือฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม การสืบราชสมบัติของเจ้าเขมรก็ยังอีรุงตุงนังเรื่อยมาเหตุผลมีเจ้านายหลายสาย
หนังสือ "ไทยสถาปนากษัตริย์เขมร"ได้สรุปความโกลาหลของการสืบราชสมบัติของเมืองเขมรตั้งแต่ช่วงปลายยุคประเทศราชของไทยจนถึงยุคก่อนได้รับเอราชจากฝรั่งเศสเอาไว้ว้า
"องค์สมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษมหาอุปราช มีนามเดิมว่า นักองค์ราชาวดี เป็นโอรสของสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดีศรีสุริโยประพันธ์ธรรมิกวโรดม มีน้องชาย ๒ คน ชื่อ นักองค์ศรีสวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งองค์พระหริราชดนัยไกรแก้วฟ้า และนักองค์วัตถา เมื่อองค์สมเด็จพระนโรดมฯ สิ้นพระชนม์ ได้เวนราชสมบัติให้นักองค์ศรีสวัสดิ์ ที่พระหริราชดนัยไกรแก้วฟ้า เป็นสมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ ครอบครองแผ่นดินเขมรสืบสันตติวงศ์ โดยไม่ยอมมอบราชสมบัติให้แก่ราชโอรสผู้มีนามว่า พระองค์เจ้าสุทธารสนโรดม"
"ต่อมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์สิ้นพระชนม์ ราชสมบัติได้แก่พระเจ้าศรีสวัสดิ์มณีวงศ์ ผู้เป็นโอรส พระเจ้าศรีสวัสดิ์มณีวงศ์มีโอรส คือ เจ้าฟ้ามณีเรศ เป็นมกุฏราชกุมารและทรงเป็นกรมพระ แต่พอพระเจ้าศรีสวัสดิ์สิ้นพระชนม์เมื่อพทุธศักราช 2483 แทนที่ฝรั่งเศสจะสถาปนาเจ้าฟ้ามณีเรศ ผู้เป็นรัชทายาท เป็นกษัตริย์ต่อไป กลายเป็นยกเอาหม่อมราชวงศ์นโรดมสีหนุ ผู้เป็นลูกหม่อมเจ้านโรดมสุรามฤตขึ้นเป็นกษัตริย์แทน (หม่อมเจ้านโรดมสุรามฤตเป็นลูกพระองค์เจ้าสุทธรารสนโรดม) ขณะนั้น หม่อมราชวงศ์นโรดมสีหนุยังเป็นเด็ก และเรียนหนังสืออยู่ที่วิทยาลัยลีเซ่ซักเซอร์โลบา ไซ่ง่อน"
เหตุการณ์สำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของกัมพูชาอยู่ที่ "แทนที่ฝรั่งเศสจะสถาปนาเจ้าฟ้ามณีเรศ ผู้เป็นรัชทายาท เป็นกษัตริย์ต่อไป"
สาเหตุที่ฝรั่งเศสเอาคนชั้นระดับ "หม่อมราชวงศ์" (นักองค์ราชวงศ์) มาเป็นกษัตริย์แทนที่ "เจ้าฟ้า" ซึ่งมีศักดิ์สูงกว่า ก็เพราะเชื่อว่า "หม่อมราชวงศ์นโรดมสีหนุ" เป็นคนว่านอนสอนง่ายและฝรั่งเศสจะชักใยได้ง่าย
"เจ้าฟ้ามณีเรศ" ผู้ที่ควรจะได้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปชองกัมพูชามีพระนามเต็มว่า "สมเด็จกรมพระสีสุวัตถิ์ มุนีเรศ" (ในที่นี้จะขานพระนามว่า "เจ้าฟ้ามณีเรศ")
เช่นเดียวกับเจ้าเขมรหลายองค์ รวมถึงหม่อมราชวงศ์สีหนุ (ซึ่งต่อมาเป็นสมเด็จพระนโรดม สีหนุ) เจ้าฟ้ามณีเรศสำเร็จการศึกษาจากฝรั่งเศส โดยเจ้าฟ้ามณีเรศสำเร็จจากโรงเรียนมัธยมปลายใกล้เมืองนีซ (สถาบันมงแตญในวองซ์) ก่อนที่จะเข้าร่วมโรงเรียนทหารพิเศษแซงต์ซีร์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เข้าร่วมกับกองทหารต่างประเทศของกองทัพฝรั่งเศส และได้รับการยกย่องในเครื่องราชอิสริยาภรณ์ Croix de Guerre ของกองทัพฝรั่งเศส
กิจการที่สำคัญที่ทำในกัมพูชา คือในปี พ.ศ. 2477 เจ้าฟ้ามณีเรศได้ก่อตั้งขบวนการลูกเสือกัมพูชากลุ่มแรก (องค์การเขมรกายาฤทธิ์) ซึ่งพัฒนาขึ้นในหลายจังหวัดและมีสมาชิกมากกว่า 1,000 คน
ในปี พ.ศ. 2484 เจ้าฟ้ามณีเรศทรงเป็นคู่แข่งสำคัญใน "เครือวงศ์สีสุวัตถิ์" (หรือ "ก๊กพระศรีสวัสดิ์") ในการสืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากพระบิดา คือสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ มณีวงศ์ แต่เจ้าหน้าที่อาณานิคมกลับเลือกพระนโรดม สีหนุ พระนัดดา (หลานชายจากคนละเครือวงศ์) ของพระองค์มากกว่า อาจเป็นเพราะฝรั่งเศสเห็นว่าเจ้าสีหนุ เชื่อฟังฝรั่งเศสมากกว่า และวิพากษ์วิจารณ์เจ้าฟ้ามณีเรศว่าเห็นอกเห็นใจขบวนการเรียกร้องเอกราช
อย่างไรก็ตาม เจ้าฟ้ามณีเรศยังคงทรงเป็นรัชทายาทตลอดรัชสมัย (รัชกาลแรก) ของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ซึ่่งยังอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส
อย่างไรก็ตาม ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2485 เจ้าฟ้ามณีเรศถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนผู้ประท้วงเรียกร้องเอกราชในเหตุการณ์ "กบฏร่ม" (เหตุการณ์ที่ชาวเขมรต่อต้านรัฐบาลอาณานิคมและใข้ร่มเป็นอาวุธ) เจ้าฟ้ามณีเรศถูกฝรั่งเศสเรียกตัวกลับเข้าประจำการในวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2485 และ 26 กันยายน พ.ศ. 2486 ในกรมทหารราบต่างประเทศที่ 5 และถูกเนรเทศไปยังค่ายทหารในเมืองตังเกี๋ย จากนั้นถูกกักบริเวณใกล้เมืองกำปง
ต่อมาระหว่างปี พ.ศ. 2487 ถึง พ.ศ. 2488 เจ้าฟ้ามณีเรศทรงกลับเข้ารับตำแหน่งราชเลขาธิการของพระมหากษัตริย์ ในช่วงที่ญี่ปุ่นยึดครองอินโดจีนของฝรั่งเศสรวมถึงกัมพูชา กระทั่งวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2488 หลังจากจักรวรรดิญี่ปุ่นพ่ายแพ้และถูกจับกุมตัว เซิน หง็อก ถั่ญ นักการเมืองเขมรเชื้อสายเวียดนามซึ่งถูกทางการญี่ปุ่นแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีช่วงปกครองกัมพูชา รัฐบาลอาณานิคมที่สถาปนาขึ้นใหม่ได้มอบอำนาจให้เจ้าฟ้ามณีเรศจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ พระองค์ได้ใช้โอกาสนี้ในการเริ่มต้นการเจรจาเกี่ยวกับ "อนาคตของกัมพูชา" โดยทรงได้รับอำนาจในการบริหารปัญหาภายในของกัมพูชา โดยฝรั่งเศสยังคงควบคุมกิจการต่างประเทศ การป้องกันประเทศ และการควบคุมชนกลุ่มน้อย
นอกจากการเป็นผู้นำรัฐบาลชุดนี้แล้ว พระองค์ยังทรงเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหมอีกด้วย ในตำแหน่งนี้ พระองค์ได้ทรงจัดตั้งกองทัพกัมพูชาสมัยใหม่กองทัพแรกขึ้น โดยได้รับความยินยอมจากฝรั่งเศส เพื่อจุดประสงค์นี้ พระองค์จึงทรงใช้สมาชิกจากกองพันอาณานิคมที่ปลดประจำการแล้ว กองกำลังเหล่านี้ได้รวมตัวกันเป็นกำลังพลของกองทหารที่มีภารกิจตามอนุสัญญาทหารฝรั่งเศส-กัมพูชาที่ลงนามเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489 คือการสนับสนุนพระราชอำนาจ รักษาความมั่นคงภายใน และป้องกันชายแดน พระองค์ยังทรงจัดตั้งโรงเรียนนายร้อยซึ่งเปิดทำการเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2489 และทรงเชิญชวนเยาวชนอายุระหว่าง 18 ถึง 25 ปี ที่มีวุฒิการศึกษาขั้นสูงให้มาลงทะเบียนเรียน
วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2489 หลังจากที่พรรคประชาธิปไตยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง เจ้าฟ้ามณีเรศทรงสละตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้แก่หม่อมเจ้า (นักองค์มจะ) สีสุวัตถิ์ ยุตติวงศ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของกัมพูชาในยุคอาณานิคมฝรั่งเศสคนต่อมา
ในระหว่างนี้ เจ้าสีหนุสละตำแหน่งกษัตริย์ในปี พ.ศ. 2498 เพื่อมาเล่นการเมืองเต็มตัว โดยดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรี แต่แทนที่ราชสมบัติจะสืบทอดสลับไปยังเครือวงศ์สีสุวัตถิ์ เจ้าสีหนุกลับโอนราชสมบัติไปให้สมเด็จพระนโรดม สุรามฤทธิ์ ผู้เป็นพระราชบิดา ทำให้ตำแหน่งกษัตริย์ยังอยู่ในมือของ "เครือวงศ์นโรดม" (หรือ "ก๊กพระนโรดม)
แม้เจ้าฟ้ามณีเรศจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาทางทหารของพระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤทธิ์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทรงดำรงอยู่จนกระทั่งเจ้าสุรามฤทธิ์สวรรคตในปี พ.ศ. 2503 และต่อมาตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน ถึง 13 มิถุนายน พ.ศ. 2503 พระองค์ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระองค์ได้ทรงขึ้นครองราชย์ชั่วคราว หลังจากการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤทธิ์
แต่เจ้าฟ้ามณีเรศไม่มีโอกาสทวงสิทธิ์อันชอบธรรมของพระองค์ เพราะหลังจากนั้นเจ้าสีหนุประกาศให้ราชบัลลังก์ว่างลง เพื่อรักษาตำแหน่งประมุขแห่งรัฐและเพื่อให้พระองค์ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่อไป
นี่เองที่ทำให้เจ้าฟ้ามณีเรศต้องสละความทะเยอทะยานในราชสมบัติไปด้วยความขมขื่นพระทัย แต่กระนั้นเจ้าสีหนุก็ยังคลางแคลงในตัวพระองค์ และความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่เคยราบรื่น แม้เจ้าสีหนุจะเชื่อมั่นในความจงรักภักดีของเจ้าฟ้ามณีเรศ และไม่ลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากพระองค์ในยามวิกฤต แต่ก็ไม่ทรงมอบอำนาจให้แก่เจ้าฟ้ามณีเรศ
ด้วยประสบการณ์การฝึกฝนที่โรงเรียนทหารแซ็งต์ซีร์ และประสบการณ์ในกองทัพฝรั่งเศส เจ้าฟ้ามณีเรศน่าจะมีความสามารถในการนำทัพกัมพูชาได้ดีกว่า ลน นล (หรือลอน นอล) หรือเจ้าสีสุวัตถิ์ สิริมตะ แต่เจ้าสีหนุทรงปฏิเสธที่จะให้เจ้าฟ้ามณีเรศมีบทบาทในกองทัพและรัฐบาลเหมือนคนทั้งสอง
ทั้งๆ ที่ ลน นล เริ่มแสดงอาการไม่เป็นเห็นพ้องกับเจ้าสีหนุ ส่วนเจ้าสิริมตะนั้น เจ้าสีหนุก็รู้ดีว่ามีความเคียดแค้นอย่างลึกซึ้งต่อพระองค์ โดยระบุว่าเจ้าสิริมตะ "เกลียดชังข้าพเจ้ามาตั้งแต่เด็ก เพราะทรงคิดว่าเจ้าฟ้ามณีเรศ พระเจ้าอาของพระองค์ ควรได้ขึ้นครองราชย์แทนข้าพเจ้า เจ้าสิริมตะเองยังทรงมีความคิดว่าตนควรได้รับเลือก (เป็นกษัตริย์) ด้วยซ้ำ"
นี่เป็นช่วงเวลาแห่งความหดหู่ของเจ้าฟ้ามณีเรศ พระองค์ทรงรู้สึกเสียใจที่ถูกมองว่าเป็น "ควายที่ขี่ข้ามทุ่งนาที่จมอยู่ใต้น้ำ" แม้ว่าในที่สาธารณะ พระองค์จะทรงประพฤติตนอย่างไม่มีที่ติ แต่ในที่ส่วนตัว พระองค์ทรงคร่ำครวญถึง "ความไร้เดียงสาของพระนัดดา (เจ้าสีหนุ)"
ด้วยเหตุที่เจ้าฟ้ามณีเรศไม่ได้โอกาสครองราช อีกทั้งยังถูกเขี่ยออกจากวงอำนาจในกองทัพและวงอำนาจทางการเมือง ทั้งๆ ที่มีประสบการณ์สูง และยังชอบธรรมในความเป็น "รัชทายาท" ทำให้ประวัติศาสตร์ต้องพลิกโฉมไป
สาเหตุสำคัญคือ เจ้าสีหนุ "เล่นการเมือง" ด้วยตัวเอง และยังให้ความไว้เนื้อเชื่อใจลน นล มากเกินไปอย่างที่ เจ้าฟ้ามณีเรศรำพึงว่าเจ้าสีหนุนั้น "ไร้เดียงสา"
แม้ ลน นล จะเคยเข้าร่วมก่อตั้งขบวนการทางการเมืองฝ่ายขวา นิยมเจ้า และเรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศสร่วมกับเจ้าสีหนุ แต่ต่อมาเขามีความเห็นด้านนโยบายการต่างประเทศขัดแย้งกับเจ้าสีหนุ ซึ่งเอนเอียงไปทางจีนแผ่นดินใหญ่ และเวียดนามเหนือ ส่วนลน นลนั้นสนับสนุนสหรัฐอเมริกา
ความวุ่นวายทางการเมืองในกัมพูชารุนแรงขึ้น จนกระทั่งกลายสงครามกลางเมืองกัมพูชาที่เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2510
ท่ามกลางความวุ่นวาย ฝ่ายต่อต้านเจ้าสีหนุก็สบโอกาสใน พ.ศ. 2512 ลน นลได้ร่วมกับเจ้าสีสุวัตถิ์ สิริมตะ ทำการก่อการรัฐประหารล้มอำนาจของเจ้าสีหนุ เพื่อสถาปนาระบอบสาธารณรัฐ เท่ากับยกเลิกระบอบกษัตริย์ไปโดยปริยาย ส่วนลน นลได้รับการเลือกในที่ประชุมรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งผู้นำแห่งรัฐ ในขณะที่เจ้าสีหนุได้ประกาศตั้งรัฐบาลราชอาณาจักรกัมพูชาพลัดถิ่นขึ้นที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน
ภายใต้ระบอบสาธารณรัฐ ระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม พ.ศ. 2516 เจ้าฟ้ามณีเรศก็ถูกควบคุมตัวไว้โดยรัฐบาลลน นล
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2518 ไม่นานหลังจากที่กองทัพเขมรแดงบุกกรุงพนมเปญ เจ้าฟ้ามณีเรศได้ไปปรากฏตัวที่สถานทูตฝรั่งเศสเพื่อขอลี้ภัย แต่ทรงถูกปฏิเสธไม่ให้ลี้ภัย เช่นเดียวกับเจ้าสิริมตะที่ขอขอลี้ภัยในสถานทูตฝรั่งเศส แต่ถูกทหารเขมรแดงมาตามจับตัวไปได้
กล่าวกันว่าเจ้าสิริมตะถูกเขมรแดงประหารเมื่อ 21 เมษายน พ.ศ. 2518 และมีรายงานว่าเจ้าฟ้ามณีเรศถูกประหารชีวิตในเดือนกันยายน พ.ศ. 2518
สองเจ้าผู้ทรงอิทธิพลแห่งเครือวงศ์สีสุวัตถิ์ก็จบชีวิตลงอย่างน่าเวทนาดังนี้ ในขณะที่เจ้าสีหนุแห่งเครือวงศ์นโรดมสามารถรอดชีวิตจากช่วงเวลาอันวุ่นวายของกัมพูชามาได้ และเมื่อสวรรคคตราชสมบัติก็ตกอยู่กับพระราชโอรส คือ เจ้านโรดม สีหมุนี
โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better
Photo
- เจ้านโรดม สีหมุนี Photo by Ministry of Foreign Affairs and International Cooperation
- เจ้าฟ้ามณีเรศ Photo by Navana Vandyk / National Portrait Gallery