สหรัฐฯ ใช้ระเบิดนิวเคลียร์กับญี่ปุ่น รุนแรงเกินไปหรือไม่?
วันที่ 6 สิงหาคม ปี 1945 คือวันที่สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูใส่เมืองฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 140,000 ราย และหลังจากนั้นอีกสามวัน สหรัฐฯ ก็ทิ้งระเบิดปรมาณูอีกลูกใส่เมืองนางาซากิ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอีกอย่างน้อย 70,000 ราย และนำมาสู่จุดสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง โดยฝ่ายญี่ปุ่นตัดสินใจยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข
คำถามที่ยังคงถกเถียงกันมาจนถึงทุกวันนี้ นั่นก็คือการทิ้งระเบิดปรมาณู หรือระเบิดนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ เป็นเรื่องที่มีเหตุผลรองรับมากแค่ไหน ที่แม้จะช่วยจบสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยชีวิตคนที่เสียชีวิตเพราะระเบิดปรมาณูมากกว่า 200,000 คน หรือนี่จะเป็นแค่การฉวยโอกาสแสดงอำนาจทางทหารของสหรัฐฯ ที่ไม่จำเป็น
แม้แต่นักประวัติศาสตร์ก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฝ่ายที่เห็นด้วยกับการใช้ระเบิดปรมาณู มองว่า ณ ขณะนั้น การใช้ระเบิดปรมาณูอาจจะเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผล เพื่อยุติสงครามในทันที ไม่เช่นนั้น การสู้รบอาจจะยืดเยื้อออกไปอีกนาน
แอนโทนี บีวอร์ นักประวัติศาสตร์ด้านการทหาร ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสงครามโลกครั้งที่สอง ระบุว่าหากไม่ใช้ระเบิดปรมาณู สหรัฐฯ จะต้องยกกำลังทหารบุกเข้าแผ่นดินของญี่ปุ่น ซึ่งมีโอกาสที่จะรบกันรุนแรง เนื่องจากทหารญี่ปุ่นได้รับการปลูกฝังให้ต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินจนถึงที่สุด ประเมินว่าการสู้รบบนแผ่นดินญี่ปุ่น จะทำให้มีทหารอเมริกัน ทหารประเทศพันธมิตร และทหารญี่ปุ่น เสียชีวิตรวมกันกว่า 500,000 นาย และมีเอกสารจากฝ่ายญี่ปุ่นที่ได้รับการเปิดเผยภายหลังว่า ฝ่ายญี่ปุ่นพร้อมจะสละชีวิตประชาชน 28 ล้านคน เพื่อต่อต้านการรุกรานของสหรัฐฯ
หากมองจากมุมมองนี้แล้ว การตัดสินใจของสหรัฐฯ ก็อาจจะสมเหตุสมผลที่เลือกใช้วิธีที่อาจจะรุนแรงที่สุด เพื่อแลกกับการยุติสงครามให้เร็วที่สุด และเพื่อป้องกันไม่ให้สงครามยืดเยื้อต่อไป ที่อาจจะทำให้มีคนเสียชีวิตมากเกินกว่าจะคาดการณ์ได้
อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์บางส่วนโต้แย้งว่า การใช้ระเบิดปรมาณูแทบไม่มีความจำเป็นเลย เพราะในเวลานั้น ญี่ปุ่นอยู่ในจุดที่ใกล้ยอมแพ้เต็มที่แล้ว มาร์ติน เจ เชอร์วิน นักประวัติศาสตร์ด้านสงครามโลกครั้งที่สอง มองว่าการตัดสินใจใช้ระเบิดปรมาณูของสหรัฐฯ เป็นความผิดพลาดและเป็นเรื่องเศร้าที่ไม่ควรเกิดขึ้น โดยมองว่า ณ ตอนนั้น ญี่ปุ่นถูกสหภาพโซเวียตรุกราน โดยในตอนแรก ทางญี่ปุ่นที่มีแผนจะยอมแพ้อยู่แล้ว หวังว่าสหภาพโซเวียตที่ยังรักษาสถานะเป็นกลางกับญี่ปุ่นจะช่วยเป็นตัวกลางเจรจาเงื่อนไขการยอมแพ้ของญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ เพื่อให้ญี่ปุ่นได้เงื่อนไขการยอมแพ้ที่ดีขึ้น แต่เมื่อสหภาพโซเวียตเปลี่ยนท่าทีเริ่มหันมาสู้รบกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงไม่เหลือทางเลือกอะไรอื่นอีก นอกจากต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข
ส่วนทาง แฮร์รี่ ทรูแมน ซึ่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเวลานั้น รู้ดีว่าญี่ปุ่นก็กำลังเตรียมที่จะยอมแพ้แล้ว เพราะสหรัฐฯ ดักฟังการสื่อสารของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ส่งข้อความไปยังสถานทูตของญี่ปุ่นในกรุงมอสโกที่มีใจความว่า “กองทัพญี่ปุ่นพ่ายแพ้แล้ว เราต้องเจรจาเงื่อนไขการยอมแพ้ โดยเงื่อนไขการเจรจาสันติภาพของญี่ปุ่นคือการดำรงอยู่ของจักรพรรดิจะต้องดำเนินต่อไป” ซึ่งทางทำเนียบขาวในเวลานั้น ได้มีการถกเถียงรื่องนี้กันอย่างดุเดือดว่า หากสหรัฐฯ รับประกันว่าจะไม่แตะต้องจักรพรรดิของญี่ปุ่น แล้วญี่ปุ่นจะยอมแพ้จริงหรือไม่
แต่สหรัฐฯ กังวลว่าถึงญี่ปุ่นจะยอมแพ้จริง แต่สหภาพโซเวียตอาจจะฉวยโอกาสเข้ามายึดครองพื้นที่ทางภาคเหนือของญี่ปุ่น จึงตัดสินใจใช้ระเบิดปรมาณูเพื่อยุติสงครามในทันที ซึ่งนักประวัติศาสตร์เชื่อว่า สหรัฐฯ ต้องการใช้ระเบิดปรมาณูเพื่อข่มขู่สหภาพโซเวียตด้วย และโอกาสเดียวที่สหรัฐฯ จะใช้ระเบิดปรมาณูได้โดยที่มีข้ออ้าง คือการใช้ระเบิดปรมาณูกับญี่ปุ่นเพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่สอง
การที่สหรัฐฯ ตัดสินใจเป็นผู้ใช้ระเบิดปรมาณูเป็นประเทศแรกและเป็นประเทศเดียวของโลกจนถึงตอนนี้ ทำให้สหรัฐฯ ก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจด้านอาวุธนิวเคลียร์ และนำโลกสู่ยุคสงครามเย็นที่หลาย ๆ ชาติ ต่างหันมาสะสมอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อใช้เป็นข้อได้เปรียบในการเจรจาต่อรองและการกดดันทางทหาร และไม่ว่าการตัดสินใจใช้ระเบิดปรมาณูของสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นเป็นเรื่องที่มีเหตุผลรองรับหรือไม่ก็ตาม สิ่งหนึ่งที่คนทั่วโลกเห็นด้วยก็คือระเบิดปรมาณูไม่ควรถูกนำมาใช้อีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง