อินเดียสวนตะวันตก ชี้ “สหรัฐ-อียู” ยังซื้อสินค้ารัสเซียในช่วงสงครามยูเครน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 6 ส.ค. ว่า นายรันเดียร์ ไจสวาล โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย กล่าวถึงการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ขู่จะขึ้นภาษีอินเดียอีก หลังเพิ่มไปแล้ว 25% จากการที่รัฐบาลนิวเดลียังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ว่าอินเดียเริ่มนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย เนื่องจากมีการเบี่ยงเบนเส้นทางของแหล่งทรัพยากรไปยังยุโรป หลังการปะทุของสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน เมื่อปี 2565
ตอนนั้น สหรัฐสนับสนุนการนำเข้าพลังงานของอินเดีย โดยให้เหตุผลว่า จะมีส่วนสำคัญกับการสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดพลังงานโลก การที่รัฐบาลนิวเดลีซื้อน้ำมันจากรัสเซีย “มีเป้าหมายเพื่อให้ต้นทุนพลังงานมีความแน่นอนและอยู่ในระดับที่ประชาชนในชาวอินเดียสามารถรับได้”
อย่างไรก็ตาม ไจสวาล "ตั้งคำถาม" ว่า "สิ่งที่น่าพิจารณา" คือ ประเทศซึ่งออกมาวิพากษ์วิจารณ์อินเดีย กลับยังคงค้าขายกับรัสเซียอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน
ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอินเดียกล่าวว่า สหภาพยุโรป (อียู) มีมูลค่าการค้าสินค้ากับรัสเซียสูงกว่าอินเดีย เมื่อปี 2567 การนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ของยุโรปในปีนั้น มีระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 16.5 ล้านตัน แซงหน้าสถิติเดิมที่ 15.21 ล้านตัน เมื่อปี 2565
ขณะที่สหรัฐ ยังคงนำเข้ายูเรเนียมเฮกซะฟลูออไรด์จากรัสเซีย สำหรับอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ รวมถึงแพลเลเดียมสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ปุ๋ย และสารเคมีอีกหลายชนิด
ด้านนายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "ประเทศที่มีอธิปไตยทุกแห่งมีสิทธิที่จะเลือกคู่ค้าของตนเอง" แม้ไม่ได้พาดพิงโดยตรงถึงผู้นำสหรัฐ แต่เปสคอฟวิจารณ์ว่า "การบังคับให้ประเทศใดก็ตามตัดความสัมพันธ์ทางการค้ากับรัสเซีย" ถือเป็น "สิ่งผิดกฎหมาย".
เครดิตภาพ : AFP