แม่มือใหม่ต้องรู้! 4 วิธีจัดการนมแม่แช่แข็ง เพื่อโภชนาการลูกน้อย
แพทย์หญิงสุมิตรา อวิรุทธ์นันท์ กุมารแพทย์เฉพาะทางด้านทารกแรกเกิดและปริกำเนิด ประจำโรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ 2 เปิดเผยว่า การปั๊มนมสต็อก คือทางเลือกที่คุณแม่ยุคใหม่นิยมใช้ เพื่อให้ลูกน้อยได้รับประโยชน์จากนมแม่ได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในยามที่คุณแม่ไม่สามารถอยู่ป้อนนมได้ตลอดเวลา
ซึ่งการจัดการนมแม่แช่แข็งที่ผิดวิธี อาจทำให้คุณค่าทางโภชนาการของนมลดลง หรือร้ายแรงกว่านั้นคือเป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูกน้อยได้ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ “แม่มือใหม่” ทุกคนต้องรู้
4 วิธีจัดการ “นมแม่แช่แข็ง”
1. "อุณหภูมิและเวลา" กุญแจสำคัญในการเก็บรักษานมแม่
การจัดเก็บนมแม่ไม่ใช่แค่การแช่เย็นหรือแช่แข็งเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงอุณหภูมิและระยะเวลาอย่างเคร่งครัด เพราะสารอาหารและภูมิคุ้มกันในนมแม่มีคุณสมบัติที่เปราะบาง การเก็บรักษาที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้คุณค่าเหล่านี้สูญสลายไปโดยไม่รู้ตัว
- อุณหภูมิห้อง (ไม่เกิน 25°C): เก็บได้ไม่เกิน 4 ชั่วโมง
- กระเป๋าเก็บความเย็นพร้อมเจลเก็บความเย็น: เก็บได้ไม่เกิน 24 ชั่วโมง
- ตู้เย็นช่องธรรมดา (0-4°C): เก็บได้ไม่เกิน 4 วัน (เหมาะสำหรับนมที่จะใช้ในไม่กี่วันข้างหน้า)
- ช่องแช่แข็งในตู้เย็นประตูเดียว: เก็บได้ไม่เกิน 2 สัปดาห์
- ช่องแช่แข็งในตู้เย็น 2 ประตู: เก็บได้ไม่เกิน 3-6 เดือน
- ตู้แช่แข็งแบบ Deep Freezer (อุณหภูมิคงที่ -18°C หรือต่ำกว่า): เก็บได้ไม่เกิน 6-12 เดือน
ข้อควรจำอย่างยิ่ง: ทุกครั้งที่ปั๊มนม ควร ติดฉลากระบุวันที่ปั๊มนม ไว้ที่ถุงหรือขวดเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าได้นำนมที่เก่าที่สุดออกมาใช้ก่อน (ระบบ First In, First Out - FIFO) เพื่อป้องกันนมหมดอายุและคงคุณค่าสูงสุด
2. "ละลายผิด…สารอาหารพัง"
ห้ามใช้ไมโครเวฟเด็ดขาด! หลายคนอาจคิดว่าการละลายนมแม่แช่แข็งก็เหมือนการละลายอาหารทั่วไป แต่สำหรับนมแม่แล้ว เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก! การละลายที่ผิดวิธี ไม่เพียงแต่ทำลายสารอาหารสำคัญ แต่ยังอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตจนเป็นอันตรายต่อลูกได้
- วิธีที่ปลอดภัยที่สุด: ย้ายนมจากช่องแช่แข็งมาพักไว้ใน ช่องธรรมดาของตู้เย็น ล่วงหน้าอย่างน้อย 12 ชั่วโมง หรือ 1 คืน
- วิธีเร่งด่วนที่ปลอดภัย: แช่ถุงหรือขวดนมในภาชนะที่มี น้ำเย็น ก่อน แล้วค่อยๆ เติม น้ำอุ่น ลงไปจนน้ำนมละลาย
- ข้อห้ามตายตัว!: ห้ามละลายในน้ำร้อนจัด หรือนำเข้าไมโครเวฟเด็ดขาด! ความร้อนสูงและรวดเร็วจะทำลายโปรตีนและสารอาหารสำคัญในนมแม่ และอาจทำให้เกิด "จุดร้อน" ที่เป็นอันตรายต่อปากของลูกน้อยได้
- อย่าเขย่าแรงๆ: เมื่อนมละลายแล้ว อาจเห็นการแยกชั้นของไขมันและน้ำนม ให้ค่อยๆ หมุนหรือแกว่งถุง/ขวดนมเบาๆ เพื่อให้นมเข้ากัน ไม่ควรเขย่าแรงๆ เพราะอาจทำให้โครงสร้างไขมันเสียไป
3. "อุ่นพออุ่น" ก่อนป้อนลูก
เมื่อนมละลายแล้ว หากลูกน้อยชอบนมที่อุ่นขึ้นอีกนิด ก็ต้องมีเทคนิคการอุ่นที่ถูกต้องเช่นกัน
- แช่ในน้ำอุ่น: ใช้วิธีแช่ถุงหรือขวดนมในภาชนะที่มีน้ำอุ่น (ไม่ใช่น้ำร้อนจัด) หรือใช้เครื่องอุ่นนมโดยเฉพาะ
- ทดสอบอุณหภูมิเสมอ: ก่อนป้อนลูก ให้ หยดนม 2-3 หยดที่หลังมือ เพื่อทดสอบอุณหภูมิ นมควรจะรู้สึกอุ่นๆ ไม่ร้อนจัดเด็ดขาด
4. ข้อควรระวังที่คุณแม่ "ต้องไม่ละเลย"
นอกจากการเก็บรักษา ละลาย และอุ่นนมแล้ว ยังมีข้อควรระวังสำคัญอื่นๆ ที่แม่มือใหม่มักจะมองข้าม ซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพของลูกน้อยได้:
- ห้ามแช่แข็งซ้ำ!: เมื่อนมละลายแล้ว ห้ามนำกลับไปแช่แข็งซ้ำเด็ดขาด! ต้องใช้ให้หมดภายใน 24 ชั่วโมงหากเก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดา หรือภายใน 2-4 ชั่วโมงหากเก็บไว้นอกตู้เย็นที่อุณหภูมิห้อง
- นมเหลือต้องทิ้ง!: หากลูกดูดนมจากขวดแล้วเหลือ ควรทิ้งทันที ไม่ควรเก็บไว้ให้ลูกกินต่อในมื้อหน้า เพราะอาจมีแบคทีเรียปนเปื้อนจากปากลูกแล้ว
- เก็บปริมาณน้อยๆ: ควรเก็บนมเป็นปริมาณน้อยๆ ในแต่ละถุง/ขวด (เช่น 60-120 มล.) เพื่อลดการเหลือทิ้ง และง่ายต่อการละลายตามปริมาณที่ลูกกินในแต่ละมื้อ
- กลิ่นหืนของนมแม่: บางครั้งนมแม่ที่ละลายแล้วอาจมีกลิ่นหืนคล้ายสบู่หรือโลหะ ซึ่งเกิดจากเอนไซม์ไลเปส (Lipase) หากลูกยังกินได้ปกติก็ไม่เป็นอันตราย แต่หากลูกไม่ยอมกิน อาจพิจารณาลดระยะเวลาในการเก็บสต็อก หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ