NIA เปิดเวทีดันสตาร์ทอัปไทย สู่ศูนย์กลางเทคฯ รับเทนรด์อาหารโลก
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มหาวิทยาลัยมหิดล และพันธมิตรองค์กรชั้นนำ ได้แก่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด และเครือข่ายบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมอาหาร
เดินหน้าสานต่อพันธกิจบ่มเพาะและเร่งการเติบโตของสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีอาหารในโครงการ "SPACE-F" ปี 6 ซึ่งเป็นโครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตฟู้ดเทคสตาร์ทอัพระดับสากลแห่งแรกของประเทศไทย เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ Food Startup ทั้งในและต่างประเทศ ที่โซน Earth Zone Hall 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่วันนี้ – 6 สิงหาคม 2568
พร้อมเปิดเวทีให้สตาร์ตอัปได้แสดงศักยภาพ นำเสนอนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีอาหาร ที่จะมาปฏิรูปอุตสาหกรรมอาหารของโลกผ่านกิจกรรม SPACE-F Accelerator Demo Day โดยมีจุดประสงค์หลักคือการเน้นย้ำว่า "Food" เป็นหัวใจสำคัญของการใช้ชีวิตและเป็นเทรนด์โลกที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ (Medical Food) หรืออาหารที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Reduced CO2 Emissions Food) ฯลฯ
“การจัดโครงการ “SPACE-F” ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา สามารถสร้างผลลัพธ์ด้านการระดมทุนรวมกว่า 5 พันล้านบาท สนับสนุนสตาร์ตอัปกว่า 80 ราย จาก 18 ประเทศทั่วโลก สามารถขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนซึ่งมีมูลค่าตลาดกว่า 6 หมื่นล้านบาทได้ ล่าสุดมีสตาร์ทอัพทั้งในและต่างประเทศ ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยยื่นใบสมัครมากถึง 150 ใบ จากหลายประเทศทั่วโลก ไทย จีน อินเดีย อเมริกา ลาตินอเมริกา สิงคโปร์ และญี่ปุ่น”
โดยในปี 2568 นี้ NIA พร้อมสนับสนุนสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีอาหาร ผ่านโครงการ “SPACE-F” ที่มุ่งเน้นบ่มเพาะและเร่งการเติบโตของธุรกิจเทคโนโลยีอาหารระดับสากล สนับสนุนฟู้ดเทคสตาร์ตอัปทั้งในและต่างประเทศให้สามารถพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตลาดอย่างแท้จริง มีสตาร์ตอัปทั้ง 9 ทีมในโครงการรุ่นที่ 6 ได้แก่ 1. Poseidona (สเปน) สาหร่ายเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมมาผลิตโปรตีนทางเลือก 2. Warich Food (ไทย) แปลรูปผลไม้สุกจัด
3. Alcheme Bio (สหรัฐอเมริกา) โปรตีนทางเลือกให้คล้ายเนื้อสัตว์ 4. TIGAMILK (ฮ่องกง) ผลิตนมจากถั่วเสือ (Tiger Nut) 5. Jupitair (โปแลนด์) เครื่องกำจัดจุลินทรีย์ในอาหารด้วยแสง UVA 6. Genbioma (สเปน) โพรไบโอติกและสารเสริมธรรมชาติ 7. Neramit Foodtech (ไทย) “ข้าวไร้แป้ง” จากสาหร่ายและโปรตีนพืช 8. Singular Intelligence (สหราชอาณาจักร) การใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลซัพพลายเชนแบบเรียลไทม์สำหรับผลิตอาหาร และ 9. MadeSweetly (สหราชอาณาจักร) ผลิตโปรตีนให้ความหวานจากจุลินทรีย์
ดร.กริชผกา กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับ ประเทศไทยคือเป็น “Kitchen of the World” มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอาหาร มีบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมาก การพัฒนาทางด้านอาหารจะต้องก้าวข้ามการผลิตแบบเดิม เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ให้มากขึ้น
โดยเฉพาะการใช้หุ่นยนต์และ AI สำหรับโรงงานและกระบวนการผลิต และการลดต้นทุนการผลิต ที่มีประเทศจีนเป็นคู่แข่สำคัญ ที่สามารถผลิตสินค้าได้ถูกที่สุดในโลก ทำให้การแข่งขันยากขึ้น ดังนั้นต้องเน้น Creative ตอบโจทย์ทิศทางของตลาดให้ได้ เพราะอุตสาหกรรมเกษตร-อาหาร ถือเป็นหนึ่งในเสาหลักที่พยุงเศรษฐกิจประเทศไทยในเวทีโลก
ด้าน “สิริจิตร์ จิระเรืองเกียรติ” Senior Director – Group Innovation บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า ไทยยูเนี่ยนเชื่อว่าโครงการ SPACE-F จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารให้มีความยั่งยืน ผ่านผลงานวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยี ที่สามารถต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ บริการ หรือธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เพื่อสร้างคุณค่าให้กับอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อส่งเสริมการเติบโตของสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีอาหาร (FoodTech) ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางสำหรับนวัตกรรมด้านอาหารได้ในอนาคต
รศ. ดร.วิริยะ เตชะรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดลกล่าวว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทย มีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก มหาวิทยาลัยมหิดลมีความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนผู้ประกอบการทางด้านฟู้ดเทคด้วยทรัพยากร เครื่องมือ ผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนคำแนะนำให้กับสตาร์ตอัป ทางมหาวิทยาลัยมหิดลและพันธมิตรมีความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมระบบนิเวศของนวัตกรรมอาหาร เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกทั้งในระดับประเทศและระดับสากล
ทั้งนี้ “เจนิก้า ครูซ” หัวหน้าฝ่ายนวัตกรรมองค์กรและความยั่งยืน บริษัท เนสท์เล่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มด้านเทคโนโลยีอาหาร (Food Technology) นับได้ว่ามีมีความท้าทายต่อการพัฒนาผลิตภันฑ์อาหาร โดยเฉพาะส่วนสำคัญทางด้านงานวิจัยและสตาร์ทอัพ ไม่ว่าเป็นโปรตีนทางเลือก จุลินทรีย์ชีวภาพ อาหารเฉพาะบุคคล ที่ต้องปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคลตามข้อมูลทางพันธุกรรม หรือความต้องการทางโภชนาการที่เกี่ยวข้องกับโรคภัยไข้เจ็บ รวมถึงอาหารเสริมสุขภาพ ตลอดจนบรรจุภัณฑ์และกระบวนการอาหารอัจฉริยะและยั่งยืน ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ในระยะเวลาอีก 3-5 ปี จะต้องเร่งพัฒนาอาหารตามเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นอาหารสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ เมื่อสังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย 60% ของประชากรจะมีอายุเกิน 60 ปีภายในปี 2573 (2030) ตอบโจทย์ความมั่นคงทางอาหาร ที่ต้องมีปริมาณเพียงพอต่อประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น เช่น กาแฟและโกโก้ ซึ่งเรื่องการสร้างสมดุลด้านความอร่อยและประโยชน์ของอาหารก็สำคัญ โดยไม่ต้องไม่ลดทอนคุณค่าทางโภชนาการและรสชาติ