“เกรียงไกร” มั่นใจกองทัพตรึงจุดยุทธศาสตร์สำคัญชิงความได้เปรียบได้ - ลั่น! สู้รบย่อมมีสูญเสีย แต่ต้องไม่สูญเปล่า
วันที่ 29 ก.ค.2568 ที่รัฐสภา พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง และอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวถึงสถานการณ์การปะทะบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังไม่นิ่ง โดยมั่นใจว่า กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ที่ปฏิบัติการอยู่ตามแนวชายแดนจะ สามารถที่จะยึดพื้นที่ของไทยได้ ซึ่งหากไทยมีการยึดพื้นที่ก็ถือว่า จะเป็นข้อได้เปรียบในการพูดคุยเจรจาตกลงทำให้ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นการจะยึดภูมะเขือ หรือยึดประสาทตาควายกลับคืนมา ถือเป็นความจำเป็น เพราะถือเป็นจุดสูงข่ม เพื่อให้เกิดความได้เปรียบในการปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถูกบรรจุอยู่ในแผนป้องกันประเทศของกองทัพบกอยู่แล้ว การตอบโต้ไปมา ย่อมมีการสูญเสีย แต่กองทัพไทยมีนโยบายแน่ชัดว่า จะไม่มีการดำเนินการกับพลเรือนของฝ่ายกัมพูชา ไม่เหมือนกับกัมพูชาที่ยิงโดยมีเป้าหมายซ่อนเร้น ทำให้ประชาชนคนไทยได้รับผลกระทบ พร้อมยังชื่นชมการทำหน้าที่ของทหารแนวหน้า ที่ได้เสียสละมาตั้งแต่ต้น
อดีตแม่ทัพภาค 4 กล่าวว่า การเจรจาระหว่างไทย–กัมพูชาเมื่อวานนี้ โดยมีมาเลเซียเป็นตัวกลางว่า เป็นสัญญาณบวก และแสดงความหวังว่า สถานการณ์จะดีขึ้นเมื่อมีหลายประเทศเข้ามามีบทบาท เช่น สหรัฐฯ และจีน แต่สุดท้ายแล้ว ทุกสงครามต้องจบที่การเจรจา ไม่ใช่การตอบโต้กันไปมา ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน และไทยควรได้เปรียบบนโต๊ะเจรจา โดยเฉพาะการรักษาพื้นที่คือหัวใจสำคัญ และใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ซึ่งมีความแม่นยำสูง และไม่ควรส่งมอบพื้นที่ที่เรายึดคืนกลับไปอีกโดยไม่มีหลักประกันใด ๆ
“จุดยืนของวุฒิสภายืนยันถึงการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 และเรียกร้องให้มีการทบทวน MOU ฉบับที่ 43 และ 44 ซึ่งอาจต้องเข้าสู่กระบวนการเจรจาใหม่ หรือแม้แต่พิจารณายกเลิกหากขัดต่อผลประโยชน์ของชาติ”พล.อ.เกรียงไกร กล่าว
เมื่อถามถึงท่าทีของสหรัฐฯ ที่ระบุจะไม่เจรจาทางการค้า หากชายแดนไทย–กัมพูชายังไม่สงบ พล.อ.เกรียงไกร กล่าวว่า เป็นแรงกดดันเชิงนโยบายที่รัฐบาลต้องรับมือ แต่หน้าที่ของทหารในแนวหน้าคือ การรักษาอธิปไตย และปกป้องประเทศจากการรุกราน แม้จะต้องสูญเสีย ต้องเจ็บปวด แต่ต้องยืนยันให้ได้ว่า การสูญเสียจะต้องไม่เสียเปล่า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางวุฒิสภาขอเชิญชวนสมาชิกวุฒิสภา บุคลากรรัฐสภา ร่วมบริจาคโลหิต เพื่อนำไปช่วยเหลือทหารกล้า เจ้าหน้าที่และพี่น้องประชาชน ผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย – กัมพูชา หลายรายอยู่ในภาวะวิกฤต จำเป็นต้องได้รับโลหิตอย่างเร่งด่วน