เบื้องหลังหยุดยิงเที่ยงคืน และก้าวสำคัญ GBC 4 ส.ค. ทางออกปัญหาพิพาทไทย-กัมพูชา
การเจรจาหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งฝ่ายไทยคือ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กับ ฝ่ายกัมพูชา คือ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา เกิดขึ้นวานนี้ (28 กรกฎาคม) ที่เมืองปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย โดยมี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เป็นคนกลาง และมีตัวแทนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา และจีน เข้าร่วมสังเกตการณ์
ภายหลังการประชุมที่ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเปิดเผยว่า ทั้ง 2 ฝ่าย ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกัน 3 ข้อ ดังนี้
หยุดยิงทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งจะมีผลในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม
จัดให้มีการประชุมนายทหารในพื้นที่ แม่ทัพภาคที่ 1 และ 2 ของไทย และแม่ทัพภาคที่ 4 และ 5 ของกัมพูชา ในวันนี้ (29 กรกฎาคม) เวลา 07.00 น.
จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) ในวันที่ 4 สิงหาคม ที่ประเทศกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม มีรายงานจากแนวหน้าว่า ภายหลังจากการประกาศหยุดยิงในเวลาเที่ยงคืน เมื่อเวลาล่วงเข้าสู่วันใหม่ กลับพบว่า มีการละเมิดข้อตกลงในพื้นที่ภูมะเขือ และมีการยิงปะทะตอบโต้จากทั้งสองฝ่ายจนถึงเช้า ในขณะพื้นที่ซำแต ยังคงมีการยิงปะทะกันเกิดขึ้น จนถึงเวลา 05.30 น.
พล.ต. วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ระบุว่า ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างเคร่งครัด โดยได้ทำการหยุดยิง บริเวณพื้นที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทันทีที่ถึงกำหนดเวลา แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งเมื่อถึงกำหนดเวลาดังกล่าว ฝ่ายไทยยังคงตรวจพบว่าฝ่ายกัมพูชาได้มีการใช้อาวุธโจมตีเข้ามาในเขตแดนของประเทศไทยอยู่หลายจุด ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างจงใจ เจตนาทำลายระบบความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน
“กองทัพบกจึงขอประณามต่อการกระทำดังกล่าว
ฝ่ายไทยจำเป็นจะต้องใช้มาตรการโต้กลับอย่างเหมาะสม ภายใต้สิทธิอันชอบธรรมในการป้องกันตนเอง”
นอกจากนี้ การนัดหารือในระดับ RBC เช้านี้ เดิมจาก 07.00 น. เลื่อนเป็น 10.00 น. ที่ช่องจอม เนื่องจากต้องมีการเข้าพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์หน้าแนวเพื่อนำไปหารือกันแต่การประชุมดังกล่าวจะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้หรือไม่ เมื่อมีรายงานถึงการจงใจละเมิดเงื่อนไขหยุดยิงเช่นนี้
ทำไมต้องหยุดยิงเที่ยงคืน: หลักปฏิบัติทางทหาร
การกำหนดให้ข้อตกลงหยุดยิงมีผลในเวลาเที่ยงคืน (24.00 น.) เป็นแนวปฏิบัติสากลในข้อตกลงหยุดยิงหรือพักรบ มีเหตุผลดังนี้
การสื่อสารและประสานงาน:การกำหนดเวลาที่ชัดเจนและเป็นสากล ช่วยให้ทุกหน่วยงานสามารถปฏิบัติตามคำสั่งได้อย่างพร้อมเพรียงกัน การสั่งให้หยุดยิงทันทีอาจทำให้เกิดความสับสนในการปฏิบัติงาน ซึ่งอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดหรือการปะทะกันโดยไม่เจตนาได้
การเตรียมความพร้อม:การมีช่วงเวลาก่อนที่ข้อตกลงจะมีผลบังคับใช้ ช่วยให้ฝ่ายทหารมีเวลาในการเตรียมการ, สื่อสารคำสั่งไปยังหน่วยต่างๆ ในพื้นที่อย่างทั่วถึง และจัดกำลังพลหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะหยุดยิงตามข้อตกลง
ความชัดเจนและความเป็นมาตรฐานสากล:การใช้เวลาเที่ยงคืนเป็นจุดเริ่มต้นของข้อตกลง เป็นมาตรฐานที่ยอมรับในระดับสากล ทำให้การประสานงานกับผู้สังเกตการณ์นานาชาติเป็นไปได้อย่างราบรื่น
GBC 4 สิงหาคม ก้าวต่อไปความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา
จากการประชุมระหว่างไทย-กัมพูชา ข้อตกลงหยุดยิง ทำให้กัมพูชากลับมาพูดคุยผ่านกลไกแบบทวิภาคี ที่มีอยู่ 3 ระดับ ประกอบด้วย คณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Commission) หรือ JBC, คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (General Border Committee) หรือ GBC และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee) หรือ RBC ซึ่งจะมีการจัดประชุม GBC ในวันที่ 4 สิงหาคม โดยมีกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ
การประชุม GBC เป็นกลไกทวิภาคีฝ่ายทหาร ระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นตัวแทนของแต่ละประเทศเข้าร่วมประชุม โดยมีกำหนดจัดประชุมทุกปี ทั้ง 2 ประเทศจะสลับกันเป็นเจ้าภาพ ครั้งล่าสุดการประชุม GBC ระหว่างไทยและกัมพูชา จัดขึ้นที่ประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 17 โดยมี ภูมิธรรม ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับ พล.อ. เตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กัมพูชา เป็นประธานร่วม
ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวมีบทบาทในการกำหนดแนวทางมาตรการเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่เปราะบางเช่นนี้ เพราะเป็นเวทีให้ฝ่ายทหารได้หารือกันโดยตรง แลกเปลี่ยนข้อมูล และตกลงหาแนวทางร่วมกัน เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ต่อไป ผลการหารือและบรรยากาศการประชุม จึงจะเป็นก้าวต่อไปที่สำคัญ
ความแตกต่างของกลไกทวิภาคีอื่น
สำหรับกลไกทวิภาคีอื่นๆ ทั้งที่เคยจัดขึ้นแล้ว และกำลังจะมีขึ้น ได้ถูกนำมาใช้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่ JBC ไปจนถึง RBC
สำหรับ JBC เป็นกลไกทวิภาคีทางการทูต มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้ง 2 ประเทศ เป็นประธานร่วม และมีคณะอนุกรรมการร่วมทางเทคนิค (Joint Technical Sub-Committee: JTSC) ปฏิบัติงานในด้านเทคนิค สนับสนุนการทำงานของ JBC เช่น การวางแผนการสำรวจ การวิเคราะห์ข้อมูลทางเทคนิค และให้ข้อเสนอแนะต่อ JBC
โดยการประชุม JBC ครั้งล่าสุด ครั้งที่ 6 จัดขึ้นที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568
ส่วน RBC เป็นกลไกทวิภาคีฝ่ายทหารระดับแม่ทัพภาค ฝ่ายไทยมีแม่ทัพภาคที่ 1 และแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นประธาน ทำหน้าที่กำหนดแนวทางและมาตรการตามนโยบายในแต่ละพื้นที่ มีบทบาทสำคัญในการดูแลสถานการณ์ชายแดน โดยแบ่งออกเป็น 3 คณะกรรมการ ได้แก่
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้ ดูแลโดย กองทัพภาคที่ 2 กับภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา
- ภาคตะวันออกตอนบน ดูแลโดย กองทัพภาคที่ 1 กับภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา
- ภาคตะวันออกตอนล่าง ดูแลโดย กองบัญชาการป้องกันชายแดนด้านจันทบุรีและตราด กับภูมิภาคทหารที่ 3 ของกัมพูชา
การประชุม RBC ครั้งแรกหลังหยุดยิงจะมีขึ้นที่จุดผ่านแดนช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเลื่อนจากเดิม 7.00 น. มาเป็นเวลา 10.00 น. ของวันนี้ (29 กรกฎาคม)