รัฐเดินหน้ากำจัดแบตเตอรี่ EV ใช้แล้วครบวงจร คาดปี 2586 พุ่ง 2.5 ล้านตัน
โดยประเทศไทยได้ประกาศจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี ค.ศ. 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ( Net Zero) ภายในปี ค.ศ.2065 ซึ่งนโยบายส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าหรือ EV ถือเป็นมาตรการหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนให้ไทยบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีไปสู่ยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (xEV) ประกอบด้วยยานยนต์ไฮบริด (HEV) ยานยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และยานยนต์แบตเตอรี่100 % (BEV) เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ การจัดการยานยนต์เหล่านี้เมื่อเลิกใช้งานแล้ว (End-of-life vehicle: ELV) นับว่าเป็นสิ่งสำคัญ และต้องจัดการอย่างถูกต้อง เหมาะสม ตลอดห่วงโซ่
เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะชิ้นส่วนสำคัญ เช่น แบตเตอรี่ ที่สามารถนำกลับมาใช้ซํ้า (Remanufacturing) หรือ นำไปรีไซเคิล เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบผลิตใหม่ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ลดการใช้พลังงานและการปล่อยคาร์บอนที่เกิดจากกระบวนการผลิต
ข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบก ระบุว่า ปี 2567 ประเทศไทยมียานยนต์สะสม 44.9 ล้านคัน สามารถจำแนกเป็น ยานยนต์ที่มีอายุน้อยกว่า 10 ปี 24.8 ล้านคัน อายุ 11-20 ปี 14.5 ล้านคัน และอายุ 20 ปีขึ้นไป 5.6 ล้านคัน ในจำนวนดังกล่าว เป็นยานยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) 227,000 คัน ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) 67,000 คัน และ ไฮบริด (HEV) 469,000 คัน และมีแนวโน้มเติบโต อย่างต่อเนื่อง
ทำให้ในอนาคตจำนวนยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าสะสมในระบบเพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้มีจำนวนแบตเตอรี่ไฟฟ้าใช้แล้วเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อชุมชน และสิ่งแวดล้อม หากไม่มีกระบวนการในการจัดการที่เหมาะสม
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสมาคมเทคโนโลยีกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) คาดการณ์ว่าภายในปี 2581 (ค.ศ. 2038) ไทยจะมีปริมาณซากแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าสะสมประมาณ 800,000 ตัน และ 2.5 ล้านตัน ในปี 2586 (ค.ศ. 2043) โดยแบตเตอรี่จะมีอายุการใช้งานเฉลี่ย 8 ปี โดย 72% มาจากรถยนต์ และ 17 % มาจากรถโดยสาร/รถบรรทุก และ 11 % มาจากรถจักรยานยนต์
จากสถานการณ์ดังกล่าว ทางกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันจัดทำโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมจัดการซากยานยนต์และแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืน โดยได้ร่วมกันศึกษาและจัดทำแนวทางการจัดการซากรถยนต์ xEV ที่ถูกต้อง ตั้งแต่กระบวนการถอดแยกให้เป็นชิ้นส่วนย่อย 3 ประเภท ได้แก่ ชิ้นส่วนสำหรับใช้ซํ้า (Reuse) ชิ้นส่วนสำหรับรีไซเคิล (Recycle) และชิ้นส่วนที่ต้องถูกทำลาย (Dispose) โดยวัสดุที่เหลือจากการบด แยก และรีไซเคิลแล้ว (Automotive Shredder Residue : ASR) จะถูกนำไปฝังกลบ หรือนำไปแปรรูปเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง
พร้อมทั้ง จัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย แนวทางการส่งเสริมและบริหารอุตสาหกรรม จัดการซากยานยนต์และแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าที่ยั่งยืนในประเทศไทย
จากผลการศึกษาโครงการฯ พบว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการจัดการซากรถยนต์ และแบตเตอรี่ โดยการนำหลักขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility: EPR) มาใช้ในรูปแบบภาคบังคับ และจัดตั้งองค์กรความรับผิดชอบของผู้ผลิต (PRO) ที่ดำเนินการโดยภาคเอกชนหรือภาครัฐ รวมทั้งการออกกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการซากรถยนต์และแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า
ซึ่งตามหลัก EPR จำเป็นต้องกำหนดบทบาทหน้าที่ของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียของระบบการจัดการซากรถยนต์ ได้แก่ ผู้ผลิต รถยนต์ เจ้าของรถยนต์ และผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะ รวมไปถึงการดำเนินการจัดการซากรถยนต์ตามหลัก EPR หากเกิดค่าใช้จ่ายขึ้น ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้ใดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
การดำเนินงานของภาครัฐครั้งนี้ จึงถือเป็นก้าวสำคัญในการจัดการซากรถยนต์และแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างครบวงจร ซึ่งหน่วยงานต่างๆ อยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นแนวทางการจัดการแบตเตอรี่ EV โดยการจัดทำ Battery Passport และแผนการบังคับใช้ รวมทั้งการจัดทำระบบการติดตามแบตเตอรี่แบบครบวงจร เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ การส่งเสริมอุตสาหกรรมผลิตแบตเตอรี่ และอุตสาหกรรมการจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้วในประเทศ เตรียมความพร้อม ด้านการลงทุน และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนกลไกการบริหารจัดการซากรถยนต์ และแบตเตอรี่ ในการส่งเสริมจัดการที่ถูกต้อง และส่งเสริมอุตสาหกรรมรีไซเคิลรถยนต์และแบตเตอรี่ในประเทศ ก่อนที่จะนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติและมีผลบังคับใช้ได้จริงต่อไป