Jitta Wealth แนะ กระจายพอร์ตรับความเสี่ยง ชู หุ้นจีน-ฮ่องกง ผลตอบแทนเด่น
นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด (บลจ.) เปิดเผยว่า แม้บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกจะเริ่มผ่อนคลายจากประเด็นสงครามการค้าและความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของ ปี 68 ที่ตลาดผันผวนรุนแรง แต่ในช่วงครึ่งหลังของปี ยังเห็นความไม่แน่นอนจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและการลงทุน สงครามการค้า โดยเฉพาะการประกาศภาษีสหรัฐฯ รวมถึงสงครามเทคโนโลยี
ประเด็นเหล่านี้ จะยังคงกดดันตลาดและอาจกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปีและส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ต้องคุมอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อต่อไป ซึ่งเป็นประเด็นที่นักลงทุนต้องจับตา
"หากย้อนประวัติศาสตร์เงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกา หลังเหตุการณ์สำคัญ เงินเฟ้อจะพุ่งแรงอย่างเห็นได้ชัด เช่นในปี 2489 ที่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นไปถึง 18.1% แต่ในทางกลับกัน ไม่ว่าจะผ่านมากีวิกฤติตลาดหุ้นก็สามารถปรับตัวกลับขึ้นมาได้โดยดัชนี S&P500 สร้างผลตอบแทนได้ถึง 326.65% (31 ธันวาคม 2542 - 14 กรกฎาคม 2568) สะท้อนได้ว่าในทุกวิกฤติมีโอกาสเสมอ ดังนั้นนักลงทุนต้องทำการบ้านหนักขึ้นเพื่อให้เป็นนักเลือก ค้นหาหุ้นที่ดีในราคาเหมาะสม ทนทานต่อความผันผวนในระยะยาวให้เจอให้ได้"
สำหรับตลาดหุ้นที่มีโอกาสเติบโตเวลานี้ นักลงทุนอาจจะให้ความสนใจในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ยังคงทำสถิติ All Time High ได้เสมอ แต่สหรัฐฯ เองก็ยังมีประเด็นที่ต้องติดตาม ทั้งปัญหาภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงความต้องการสหรัฐฯ เริ่มลดน้อยลง ขณะที่ ประเทศคู่แข่งอย่างจีนในเวลานี้ ถือว่ายังมีความแข็งแกร่งมีจุดยืนที่มั่นคงในเวทีโลกเห็นได้จากการตอบโต้ภาษีสหรัฐฯ แม้ในภาพรวมของภาคประชาชนจะแสดงให้เห็นถึงการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้นแต่เศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง GDP เติบโตอยู่ในระดับที่สูงกว่า 5.5% (2564-2567) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกเกือบ 2%
ขณะเดียวกัน หากถาม AI ถึงประเทศที่น่าลงทุนในเวลานี้ ข้อมูลล่าสุด (11 กรกฎาคม) AI พบว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีอัตราส่วนหุ้นถูกต่อหุนแพงลดลงมาอยู่ที่ 0.61 เท่า จากสินปีก่อนที่มี 0.72 เท่า สะท้อนว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เวลานี้อาจจะแพงไปแล้ว เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นจีนที่มีอัตราส่วนหุ้นถูกต่อหุ้นแพงเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 15.6 เท่าจากสิ้นปีก่อนที่มีเพียง 9 เท่า
"เวลานี้ระบบเศรษฐกิจโลกถูกขับเคลื่อนไปตามการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีน ใน อีก 10 ปีข้างหน้า ยังไม่มีใครตอบได้ว่าสหรัฐฯ หรือจีน ใครจะขึ้นเบอร์หนึ่งของโลก แต่ที่แน่ๆเราก็จะเห็นการเติบโตของทั้ง 2 ประเทศนี้ต่อไป“
นายตราวุทธิ์ กล่าวว่า เมื่อภาพการลงทุนกำลังเปลี่ยนไปตามบริบทใหม่ของโลก นักลงทุนจำเป็นต้องมีหลักคิดในการลงทุนที่ถูกต้องเพื่อให้พร้อมเผชิญกับความไม่แน่นอนในอนาคต ซึ่งการกระจายความเสี่ยงให้พอร์ต คือ กุญแจสำคัญ รวมถึงการจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite ที่มีการแบ่งสัดส่วนของ Core Port หรือพอร์ตหลักให้มีสินทรัพย์ที่กระจายความเสี่ยงอย่างครอบคลุม และสร้างความมั่นคงให้พอร์ต ควบคู่ไปกับ Satellite Port หรือพอร์ตรอง เสริมการลงทุนแบบมุ่งเน้นผลตอบแทน ในประเทศหรือธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ซึ่งสัดส่วนของทั้ง 2 พอร์ต อาจจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับความเสี่ยงของนักลงทุนเอง แต่สัดส่วนที่ปลอดภัยที่ Jitta Wealth แนะนำจะอยู่ที่ 80:20
"การกระจายความเสี่ยงและการจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite โดยมี Global ETF เป็น Core Port สามารถฝ่าวิกฤติได้จริง ด้วยผลตอบแทนที่ดีและความเสี่ยงต่ำ เหมาะที่นักลงทุนจะใช้เป็นพอร์ตหลักได้อย่างสบายใจ ไร้กังวล และการมีพอร์ตหลักที่มั่นคง จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนด้วยการเลือกลงทุนในตลาดหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีในอนาคตใน Satellite Port ได้ด้วย"
ทั้งนี้ สำหรับผลตอบแทนการลงทุนในนโยบายต่างๆ ของ Jitta Wealth ตั้งแต่ต้นปีมาถึงปัจจุบัน (14 กรกฎาคม 2568) นโยบายที่เกี่ยวกับหุ้นจีนสามารถสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่น เช่น Jitta Ranking หุ้นฮ่องกง สามารถสร้างผลตอบแทน (YTD) +19.64% และหากดูเป็นธีมการลงทุน พบว่า ธีมบริการสุขภาพจีน +29.34% ธีมพลังงานสะอาดจีน +26.19% ธีมตลาดหุ้นจีน +23.16% ธีมหุ้นฮ่องกง +22.50% ธีมเทคโนโลยีจีน +19.26% ส่วนJitta Ranking หุ้นจีน +4.77% และ Jitta Ranking Alpha +4.15%
"AI ของ Jitta Wealth ชี้ให้เห็นโอกาสในตลาดหุ้นจีนมาโดยตลอด และเวลานี้ยิ่งตอกย้ำความแม่นยำได้จากผลตอบแทนที่ชัดเจน ซึ่งตลาดหุ้นฮ่องกงที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนำไปก่อนเพราะเป็นตลาดที่เงินทุนไหลเข้าออกง่าย แต่หากมองโครงสร้างในระยะยาวแล้วในอนาคต ชื่อว่าจะเห็นการโยกเม็ดเงินไหลกลับเข้าสุจีนแผ่นดินใหญ่แน่นอน'
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันฐานลูกค้าพอร์ตอยู่ที่ 68,000 ราย เฉลี่ย 1 คนมี 1.8 - 2 บัญชี โดยรายได้ปัจจุบันปี 68 ของ Jitta อยู่ที่กว่า 100 ล้านบาท ปี 67 กำไร 1 ล้านบาท ซึ่งค่าธรรมเนียมที่คิดกับลูกค้าอยู่ที่ 0.5% เหตุผลที่คิดค่าธรรมเนียมไม่มากเพราะอยากทำให้นักลงทุนเสียกำไรน้อยที่สุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทิสโก้ เผย ไตรมาส 3 หุ้นตลาดเกิดใหม่ทะยาน เปิด 3 เหตุผลหนุน
รู้จัก Eightcap ผู้นำเทคโนโลยีการเทรด โบรกเกอร์ที่จะมาตอบโจทย์ในยุคดิจิทัลแห่งปี 2025
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : Jitta Wealth แนะ กระจายพอร์ตรับความเสี่ยง ชู หุ้นจีน-ฮ่องกง ผลตอบแทนเด่น
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.pptvhd36.com