ไทยล้าหลัง หวั่นเวียดนามทิ้งห่าง! ‘ส.อ.ท.’ ชี้เหตุปะทะไทย-กัมพูชา ฉุดเชื่อมั่นอุตฯ ดิ่งต่ำสุดในรอบ 3 ปี
เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา สะเทือนกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการค้าชายแดน ฉุดดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตฯ วูบต่ำสุดรอบ 3 ปี ‘ส.อ.ท.’ ห่วง GDP ไทยโตรั้งท้ายเพื่อนบ้าน หวั่นเวียดนามทิ้งห่าง Reciprocal Tariff กระทบขีดความสามารถการแข่งขัน
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 86.6 ปรับตัวลดลง จาก 87.7 ในเดือนมิถุนายน2568 ต่ำสุดรอบ 3 ปี
ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์ข้อพิพาทบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการค้าชายแดน โดยในเดือนมิถุนายน 2568 มีมูลค่าการค้ารวม 10,907.53 ล้านบาท ลดลง 32.29% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2568 (MoM) และลดลง 23.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)
ปัจจุบันแรงงานกัมพูชาที่ลงทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทยมีมากกว่า 510,000 คน แต่หากรวมแรงงานที่หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ตัวเลขจะอยู่ที่ราว 1 ล้านคน
โดยกระจายตัวอยู่ในภาคอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น โรงงานผลิตสินค้า ภาคการเกษตร ได้แก่ แรงงานกรีดยางและเก็บเกี่ยวผลไม้ รวมถึงภาคบริการโดยเฉพาะในกลุ่มโรงแรม และการท่องเที่ยว จากการได้รับรายงานคาดการณ์แรงงานกัมพูชากลับไป 3 แสนคนอย่างไรก็ตาม ไทยพึ่งพาแรงงานเมียนมาร์เป็นหลัก ซึ่งยังคงมากที่สุดราว 3 ล้านคน
นอกจากนี้ สถานการณ์อุทกภัยและน้ำป่าไหลหลาก ในพื้นที่ภาคเหนือ เช่น จังหวัดน่านและเชียงราย ยังสร้างความเสียหายต่อชุมชน บ้านเรือน และโรงงานอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องขณะเดียวกัน ความกังวลต่อการจัดเก็บภาษี Reciprocal Tariff ในอัตรา 36% (ซึ่งมีผลบังคับใช้วันที่ 1 สิงหาคม 2568) ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย
หวั่นไทยโตช้า เวียดนามทิ้งห่าง
เกรียงไกรระบุอีกว่า สิ่งที่น่าห่วงของเศรษฐกิจไทย สะท้อนได้จาก GDP ไทยที่โตรั้งท้ายเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเวียดนาม ที่เริ่มเห็นการปฏิรูปโครงสร้างภาครัฐ ระบบราชการ เพื่อลดขั้นตอนการทำงาน ลดเงื่อนไขดึงดูดการลงทุน และล่าสุดได้ประกาศงบประมาณลงทุน 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อผลักดัน GDP
ยิ่งสะท้อนว่า รัฐบาลมุ่งปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ควบคู่กันไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ
“ถ้าเกิดเราช้าไปกว่านี้ เพื่อนบ้านก็ขยับตัว ทิ้งห่างเรา ขีดความสามารถการแข่งขันลดลง รวมถึงมาเลเซียและสิงคโปร์ ก็ร่วมกันพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮ เพื่อดึงดูดการลงทุน และสร้างแต้มต่อเพื่อลดผลกระทบภาษีสหรัฐฯ”
ห่วงงบประมาณล่าช้า
นอกจากนี้ เอกชนกังวลต่อการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ที่อาจเกิดความล่าช้า ตลอดจนการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 และงบกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.15 แสนล้านบาท ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในหมวดสินค้าคงทน เช่น เครื่องปรับอากาศและเครื่องจักรกล ส่งผลให้ภาคการบริโภคภายในประเทศเผชิญกับแรงกดดันเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม ในเดือนกรกฎาคม ยังคงมีปัจจัยบวกจากโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568” จำนวน 500,000 สิทธิ์ ภายใต้งบประมาณ 1,750 ล้านบาท (เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568) ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนอย่างทั่วถึง
ขณะเดียวกัน การลงทุนมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรก 2568 มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 1.06 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 138% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)
ทั้งนี้ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการลงทุน ยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจ และเพิ่มการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม อีกทั้ง ราคาน้ำมันที่ทรงตัว ยังมีส่วนช่วยลดต้นทุนให้แก่ผู้ประกอบการ
นอกจากนี้ จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,356 ราย 47 กลุ่มอุตสาหกรรม พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศ 70.1% เศรษฐกิจโลก 66.7% นโยบายภาครัฐ 57.2%
ส่วนดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเช่นกัน อยู่ที่ระดับ 89.2 ลดลงจาก 90.8 ในเดือนมิถุนายน 2568 เนื่องจากผลการเจรจาภาษี Reciprocal Tariff กับสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน หากอัตราภาษีไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค อีกทั้งข้อพิพาทระหว่างไทย และกัมพูชาที่ยืดเยื้อยังคงส่งผลกระทบต่อมูลค่าการค้าชายแดน
แนะ 3 ข้อเสนอภาครัฐ
เสนอให้ภาครัฐออกมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อให้สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้โดยเร็ว พร้อมทั้งจัดทำโครงการสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการไทยที่เข้าไปลงทุนในประเทศกัมพูชา เพื่อบรรเทาผลกระทบและลดความเสี่ยงต่อการประกอบธุรกิจในระยะยาว
เสนอให้ภาครัฐออกมาตรการสนับสนุนด้านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือเงื่อนไขผ่อนปรนเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินและสนับสนุนการปรับตัวของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
เสนอให้ภาครัฐเร่งลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเป็นระบบ เพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ