ผู้เชี่ยวชาญเอดส์เรียกร้อง ‘เลิกใช้ความกลัวของคนหาเงินบริจาค’ ย้ำรัฐควรดูแลผู้ป่วย HIV อย่างเป็นระบบ ไม่ต้องพึ่งวัด
วันนี้ (19 สิงหาคม) ที่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดงานแถลงข่าวคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบและกำกับติดตามการเข้าถึงบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยโรคเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และวัณโรค
โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วนร่วมให้ข้อมูล เพื่อตอกย้ำความก้าวหน้าด้านการรักษาและควบคุมโรคเอดส์ของประเทศไทย และเรียกร้องให้สังคมหยุดตีตราผู้ติดเชื้อ รวมถึงยืนยันว่าในปัจจุบันไม่มี ‘เอดส์ระยะสุดท้าย’ อีกต่อไป หากผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
พญ.จุรีรัตน์ บวรวัฒนนุวงศ์ นายกสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย ระบุว่า แม้ประเทศไทยจะประสบความสำเร็จในการควบคุมและรักษาโรคเอดส์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีระบบการดูแลที่เข้มแข็ง ครอบคลุม และเข้าถึงได้ฟรีทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศมาตั้งแต่ปี 2548 ผ่านโครงการยาต้านไวรัสแห่งชาติ แต่สิ่งที่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญคือทัศนคติและความเข้าใจของสังคมที่ยังล้าหลัง ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อจำนวนไม่น้อยถูกเลือกปฏิบัติ ถูกตีตรา และขาดโอกาสในการใช้ชีวิตอย่างปกติ
ในปัจจุบัน ยาต้านไวรัสมีประสิทธิภาพสูง ผู้ติดเชื้อกว่า 95% ที่รับการรักษาสามารถควบคุมปริมาณไวรัสในกระแสเลือดจนไม่สามารถตรวจพบ (Undetectable) ซึ่งหมายความว่าไม่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ (U=U) ผู้ป่วยสามารถมีสุขภาพดีและใช้ชีวิตได้ตามปกติเช่นเดียวกับคนทั่วไป
นอกจากนี้ ยังมีการรณรงค์ให้ใช้ยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อ (PrEP) ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้ แต่ปัจจุบันพบว่ามีการใช้ในกลุ่มเป้าหมายน้อยกว่า 20% ขณะที่ประเทศไทยยังคงมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ปีละราว 9,000 ราย โดยครึ่งหนึ่งเป็นเยาวชนและชายรักร่วมเพศ
นพ.พงศ์ธร ชาติพิทักษ์ ผู้อำนวยการกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กล่าวเสริมว่า ประเทศไทยเคยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงสุดในปี 2535 ราว 140,000-150,000 คนต่อปี แต่ในปัจจุบันเหลือเพียงประมาณ 8,000 คนต่อปี ซึ่งสะท้อนความก้าวหน้าทางการแพทย์และระบบสาธารณสุขที่สามารถควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อยังคงมีจำนวนสะสมมากกว่า 550,000 คน ในจำนวนนี้กว่า 400,000 คนรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง สามารถควบคุมเชื้อได้ และไม่สามารถแพร่เชื้อได้ ซึ่งหากมองจากภายนอกจะไม่สามารถแยกออกได้ว่าเป็นผู้ป่วยหรือไม่
แม้จะมีความก้าวหน้าในการรักษา แต่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น เช่น โรคหนองใน กลับพบแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน การรณรงค์ให้ใช้ถุงยางอนามัยอย่างต่อเนื่องจึงยังเป็นสิ่งจำเป็น
ศ.กิตติคุณ นพ.ประพันธ์ ภานุภาค กรรมการและที่ปรึกษาสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันการตรวจหาเชื้อ HIV เป็นเรื่องที่ทุกคนควรทำ โดยเฉพาะผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์แม้เพียงครั้งเดียว เนื่องจากเราไม่สามารถทราบได้ว่าอีกฝ่ายมีเชื้อหรือไม่ ทั้งนี้ สปสช.ให้บริการตรวจฟรี และเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสุขภาพของตนเองและคนรอบข้าง พร้อมย้ำว่าผู้ที่เข้าสู่ระบบการรักษาอย่างรวดเร็วสามารถกลับไปมีชีวิตตามปกติได้
นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ ที่ปรึกษาสมาคมโรคเอดส์ฯ กล่าวถึงกรณีการแสวงหาผลประโยชน์จากผู้ป่วย โดยเฉพาะการโฆษณาสถานที่พักฟื้นผู้ป่วยระยะสุดท้ายเพื่อรับบริจาค ซึ่งหลายกรณีไม่ได้สะท้อนข้อเท็จจริงว่าโรคเอดส์สามารถรักษาได้ และไม่มีความจำเป็นต้องมี ‘สถานที่สุดท้าย’ หากระบบการรักษาเข้าถึงผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที
ด้านนิมิตร์ เทียนอุดม ประธานคณะอนุกรรมการฯ ได้กล่าวถึงแนวทางการดูแลผู้ติดเชื้อในระดับระบบว่า ควรให้ทุกคนเข้าถึงบริการอย่างรวดเร็ว โดยแบ่งกลุ่มเป้าหมายสำคัญออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ป่วยที่พำนักอยู่ในวัด ควรติดต่อสายด่วน 1330 หรือ 1663 เพื่อเข้าสู่ระบบรักษา กลุ่มประชาชนทั่วไปที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อ กลุ่มนายจ้างและองค์กร ต้องหยุดเลือกปฏิบัติในการรับเข้าทำงาน และกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งต้องพร้อมดูแลผู้ป่วยอย่างไม่เลือกปฏิบัติ
ยุพา สุขเรือง ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อ HIV เขตประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันยาต้านไวรัสรับประทานเพียงวันละเม็ด ผลข้างเคียงน้อยลง และผู้ที่ควบคุมไวรัสได้ก็สามารถใช้ชีวิตตามปกติ แม้จะมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันก็ไม่แพร่เชื้อ พร้อมยืนยันว่าผู้ติดเชื้อทุกคนสามารถเรียน ทำงาน และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างไม่ต่างจากคนทั่วไป อย่างไรก็ตาม สังคมไทยยังมีข้อจำกัดในด้านนโยบายการจ้างงาน โดยเฉพาะในหน่วยงานรัฐ เช่น ตำรวจหรือทหาร ซึ่งยังมีข้อห้ามรับผู้ติดเชื้อเข้าเป็นเจ้าหน้าที่
รศ.ดร.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการ สปสช. ยืนยันว่า ประเทศไทยมีความพร้อมในการดูแลผู้ป่วย HIV ตั้งแต่การป้องกัน ตรวจวินิจฉัย ไปจนถึงการรักษา โดยผู้ป่วยสามารถรับยาที่โรงพยาบาลหรือคลินิกใกล้บ้าน และยังมีบริการเข้าถึงชุมชน รวมถึงอุปกรณ์ป้องกัน เช่น ถุงยางอนามัย และชุดตรวจคัดกรอง ซึ่งสามารถขอรับได้จากร้านยาที่เข้าร่วมกับ สปสช.
เมื่อสอบถามถึงบทบาทของวัดพระบาทน้ำพุในการดูแลผู้ป่วย พญ.จุรีรัตน์กล่าวว่า ผู้ที่พักพิงอยู่ในวัดส่วนใหญ่มาจากปัญหาครอบครัวและสังคม ไม่ใช่เพราะป่วยถึงขั้นสุดท้าย พร้อมย้ำว่าไม่มีใครต้องเสียชีวิตจากเอดส์ในยุคปัจจุบัน ทุกคนสามารถรักษาได้ หากสังคมเปิดใจและยอมรับผู้ป่วยกลับคืนสู่ครอบครัว
นพ.ประพันธ์กล่าวเสริมว่า หน่วยงานของรัฐควรมีบทบาทในการดูแลผู้ป่วย ไม่ควรปล่อยให้วัดต้องรับภาระเพียงลำพัง หรือใช้ความกลัวในการหาเงินบริจาค เช่นเดียวกับที่นิมิตร์ระบุว่า สถานที่พักฟื้นถาวรแบบวัดพระบาทน้ำพุไม่มีความจำเป็นในยุคปัจจุบัน และไม่ควรโฆษณาว่าเป็น ‘เรือนตาย’ เพราะจะยิ่งสร้างความหวาดกลัวในสังคม
นิมิตร์ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า หากสังคมเข้าใจและพร้อมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าสู่ระบบการรักษาอย่างเร็วที่สุด จะไม่มีใครต้องตกค้างอยู่ในวัด หรือสถานที่ดูแลระยะสุดท้ายอีกต่อไป พร้อมเรียกร้องให้ภาครัฐ สื่อมวลชน และทุกภาคส่วนร่วมกันรื้อทัศนคติเดิม และสร้างสังคมที่เท่าเทียม ปลอดการตีตรา และเปิดโอกาสให้ผู้ติดเชื้อ HIV ใช้ชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรีและมั่นคงต่อไป