AOT ตั้งคณะกรรมการทำ TOR เตรียมพร้อมเปิดประมูลพื้นที่ Duty Free หาผู้ประกอบการรายใหม่ หากต้องยกเลิกสัญญาสัมปทาน ‘คิง เพาเวอร์’
บมจ. ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT เดินหน้าแก้ปัญหากรณีที่บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด หรือกลุ่มคิง เพาเวอร์ ยื่นหนังสือขอยกเลิกสัญญา Duty Free กับ AOT โดย AOT ล่าสุดได้แต่งตั้งที่ปรึกษาอิสระจาก 2 มหาวิทยาลัย เพื่อศึกษาแนวทางที่เหมาะสมที่สุด คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนกันยายน และพร้อมที่จะเจรจาเพื่อให้จบดีลภายในปีนี้
ปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยว่า AOT ได้ว่าจ้างแต่งตั้ง มหาวิทยาลัยมหิดล และ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เป็นที่ปรึกษาเพื่อศึกษาประเด็นการขอยกเลิกสัญญาของคิง เพาเวอร์ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจและการเงินกำลังพิจารณาสัญญาอย่างละเอียดว่าสามารถปรับเปลี่ยน แก้ไข หรือต้องยกเลิกสัญญาจริงๆ ซึ่งขณะนี้ผลการศึกษามีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยหลักการจะคำนึงถึงผลกระทบและผลประโยชน์สูงสุดที่ AOT จะได้รับเป็นเงื่อนไขหลัก
“คาดว่าการศึกษาการแก้สัญญาจะแล้วเสร็จประมาณกลางเดือนกันยายนนี้ จากนั้นจะนำเสนอต่อคณะกรรมการ AOT เพื่อพิจารณาแนวทางเจรจาภายในปลายเดือนกันยายน หรือต้นเดือนตุลาคม และเรามองว่าการเจรจากับคิง เพาเวอร์ จะต้องจบภายในเดือนตุลาคมนี้” ปวีณากล่าว
พร้อมเปิดประมูลหาผู้ประกอบการรายใหม่ หากต้องยกเลิกสัญญาสัมปทาน ‘คิง เพาเวอร์’
อย่างไรก็ดี หากผลการศึกษาพบว่าควรยกเลิกสัญญา ทาง AOT ก็พร้อมที่จะเดินหน้าตามกระบวนการ โดยไม่ได้คิดว่าต้องทำอย่างไรให้ คิง เพาเวอร์อยู่ได้ แต่จะยึดหลักผลประโยชน์สูงสุดของ AOT เป็นที่ตั้ง และในกรณีที่ต้องมีการยกเลิกสัญญา ขณะนี้ AOT แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อจัดทำเงื่อนไขประกวดราคา (TOR) เตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดประมูลใหม่พื้นที่ Duty Free รองรับไว้แล้วเพื่อบริหารความเสี่ยงทุกด้าน หากมีเหตุจำเป็นต้องยกเลิกสัญญาสัมปทานกับคิง เพาเวอร์ ซึ่งจำเป็นต้องมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามารับสัญญาสัมปทาน Duty Free คู่ขนานไปกับการเจรจากับ คิง เพาเวอร์
ภาพ: ปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT
“ตอนนี้ข้อเสนอที่ AOT กำลังดูอยู่ของทีมที่ปรึกษาที่ศึกษาสัญญา Duty Free กับ King Power อาจจบที่การยกเลิกสัญญาสัมปทาน หรืออาจจบแบบมีข้อเสนอที่ดีสำหรับ AOT แล้วเรานำไปเจรจาต่อกับคิง เพาเวอร์ แต่หาก คิง เพาเวอร์ ไม่ยอมรับข้อเสนอของ AOT เราก็อาจกลับไปสู่กระบวนการยกเลิกสัญญาสัมปทาน เราไม่ได้คิดว่าจะทำยังไงให้ คิง เพาเวอร์อยู่ได้ ซึ่งการศึกษานี้เป็นฝั่งของ AOT ในบริบทที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน”
ขณะที่ AOT มีระเบียบชัดเจนว่าหากไม่มีข้อพิพาททางคดีความ บริษัทนั้น ๆ ยังสามารถกลับมาเข้าประมูลใหม่ได้ ซึ่งปัจจุบัน คิง เพาเวอร์ ยังไม่ได้มีข้อพิพาทคดีความเกิดขึ้นกับ AOT
ทั้งนี้แม้รายได้จากคิง เพาเวอร์ จะคิดเป็นสัดส่วนถึง 17% ของรายได้ทั้งหมดของ AOT แต่ยืนยันว่า AOT ยังคงบริหารจัดการตามสัญญาปกติ และไม่มีการลดหย่อนให้เป็นพิเศษ ซึ่งในปัจจุบันคิง เพาเวอร์ มีทั้งส่วนที่ชำระและส่วนที่ค้างชำระ โดย AOT พยายามบริหารจัดการให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล และเติบโตอย่างยั่งยืน
AOT คาดปีนี้จะมีผู้โดยสารเพิ่มเป็น 127 ล้านคน
ปวีณา ยังอธิบายต่อว่า แม้ภาพรวมในปีนี้จำนวนผู้โดยสารจีนจะลดลงกว่า 40% แต่จำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการท่าอากาศยานของ AOT ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมียอดผู้โดยสารในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 9% เนื่องจากผู้โดยสารจากชาติอื่น ๆ เข้ามาทดแทน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มองหาตลาดใหม่ ๆ
“เปรียบเทียบคือ AOT จะไม่รอแฟนเก่าอย่างผู้โดยสารจีนที่มีแนวโน้มลดลงกลับมา แต่จะมองหาแฟนใหม่ให้มากขึ้น ซึ่งเป็นชาวต่างชาติประเทศอื่น ๆ ที่สามารถมาทดแทนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงได้” ปวีณากล่าว
โดยคาดว่าจำนวนผู้โดยสารรวมทั้งปีนี้งวดบัญชีงบการเงินบริษัทฯ (เดือนตุลาคม 2567-กันยายน 2568) จะอยู่ที่ประมาณ 127 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 119 ล้านคนในปีที่แล้ว หลังจากผ่านมาในช่วง 10 เดือนแรกของงวดบัญชีงบการเงินบริษัทฯ (เดือนตุลาคม 2567-กรกฎาคม 2568) ล่าสุด AOT มียอดผู้โดยสารรวมอยู่ที่ 107 ล้านคน
ปวีณายอมรับว่าผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (เดือนสิงหาคม 2567- มิถุนายน 2568) กำไรของ AOT ลดลงเล็กน้อยประมาณ 50 ล้านบาท แต่ยืนยันว่าบริษัทฯ ยังคงบริหารจัดการได้ดี โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ผู้โดยสารจีนลดลงอย่างมาก รวมถึงภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงท่าอากาศยานที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากอุปกรณ์และโครงสร้างต่างๆ มีอายุการใช้งานนานแล้ว
“KPI ของผู้บริหารคือ การทำกำไร เพราะฉะนั้นเราต้องหาเงินเพิ่มขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่าย ซึ่งการบริหารงานจะเน้นความมั่นคง ไม่ใช่ความหวือหวา และในอนาคตจะมีการสร้างรายได้ใหม่ๆ เข้ามาเสริมอย่างแน่นอน”
นอกจากนี้ AOT ได้ปรับการคาดการณ์ (Forecast) จำนวนผู้โดยสารให้บ่อยขึ้น จากเดิมทุก 1 ปีครึ่งเป็นอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
AOT จับมือ ป. ป. ช. ส่งเสริมค่านิยมต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ
นอกจากนี้ AOT ได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป. ป. ช.) ในการขับเคลื่อนโครงการยกระดับดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index – CPI) ด้านการประชาสัมพันธ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้ด้านการป้องกันและต่อต้านการทุจริต ผ่านการเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ต่อต้านการรับสินบนและการทุจริตทั้งในรูปแบบของอินโฟกราฟิก และคลิปวิดีโอบนจอแสดงผลภายในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งในความดูแลของ AOT ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่
ซึ่งการดำเนินการนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมความโปร่งใสและยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศ ผ่านท่าอากาศยานในฐานะ ‘ประตูสู่ประเทศไทย’ เป็นช่องทางสำคัญในการสื่อสารไปยังประชาชน นักท่องเที่ยว และนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ
ภาพ:TY Lim / Shutterstock